Site icon Thumbsup

“ร้านสะดวกซื้อ – แผงลอย” ยิ้ม หลังวิจัยพบคนไทยหม่ำข้าวนอกบ้านเพิ่มขึ้น

มีตัวเลขจากรายงานวิจัยของ Nielsen ในหัวข้อ ‘FoodTrips’ พบเทรนด์น่าสนใจประการหนึ่งของสังคมไทย นั่นคือการนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2016 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 50 ครั้งต่อเดือน มาในปีนี้พบว่าเพิ่มเป็น 56 ครั้งต่อเดือน ส่วนช่องทางในการรับประทานอาหารนอกบ้านที่เป็นที่นิยม 3 อันดับแรกของผู้บริโภคชาวไทยนั้นไม่ต่างจากเดิม (ร้านสะดวกซื้อ, ร้านแผงลอย และร้านข้างทาง) โดยพบว่าร้านสะดวกซื้อนั้นมีผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นถึง 7% ด้วย

รายงานการวิจัยจาก Nielsen ในหัวข้อ ‘FoodTrips’ นี้เป็นการเก็บข้อมูลพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคต่อการรับประทานอาหารนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นความถี่ ลักษณะของการรับประทานอาหารและการจับจ่ายในแต่ละมื้อ รวมถึงช่องทางการซื้ออาหาร เหตุผลในการเลือก และเทรนด์ของตลาด โดย Nielsen ระบุว่าในปีนี้มี 4 เทรนด์ที่น่าจับตามอง ได้แก่

การพบว่าร้านสะดวกซื้อกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในการรับประทานอาหารนอกบ้าน

ในส่วนนี้ Nielsen ชี้ว่าช่องทางในการรับประทานอาหารนอกบ้านที่เป็นที่นิยม 3 อันดับแรกของผู้บริโภคชาวไทยคือ ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายอาหารแผงลอย (food stall) และอาหารข้างทาง (street food) เรียงตามลำดับ ซึ่งเป็นเทรนด์เดียวกันกับปี 2559

อย่างไรก็ตาม Nielsen ระบุว่าเห็นได้ถึงการเติบโตของการเข้าถึงผู้บริโภคสำหรับทั้งสามช่องทาง โดยที่ร้านสะดวกซื้อนั้นมีการเติบโตที่ 7% เฉลี่ยแล้วมีผู้บริโภคเข้าร้านอยู่ที่ 21 ครั้งต่อเดือน และเหตุผลที่ผู้บริโภคเลือกที่จะเข้าร้านสะดวกซื้อหลักๆ แล้วคือเพื่อบรรเทาความหิวและเนื่องจากมีความรู้สึกว่าเป็นกิจวัตรประจำวัน

“เราจะเห็นได้ว่าร้านค้าปลีกต่างๆ เช่น Lawson 108, MAXVALU และ TOPS Daily ได้ให้ความสำคัญกับการให้บริการพื้นที่รับประทานอาหารสำหรับลูกค้าที่เข้ามาเพื่อซื้ออาหารรับประทานในช่วงเวลาพัก หรืออย่างเช่น Family Mart ที่มีสาขาที่เป็น one-stop shopping destination ซึ่งมีทั้งขายของสด อาหาร บริการส่งสินค้า และแม้แต่ co-working space นี่อาจเป็นนัยสำคัญในการบ่งบอกถึงความสำคัญของการที่ผู้ค้าปลีกต้องตระหนักถึงพฤติกรรมการบริโภคและวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เพื่อที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้น” กล่าว คุณสมวลี ลิมป์รัชตามร กรรมการผู้จัดการ บริษัท นีลเส็น ประเทศไทยกล่าว

ผู้บริโภคคนไทยเน้นรับประทานอาหารมื้อหลักมากขึ้น

ทางด้านของพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้บริโภคระหว่างวัน พบว่าผู้บริโภครับประทานอาหารประมาน 7 มื้อด้วยกัน ประกอบด้วยอาหารมื้อเช้า อาหารว่างก่อนมื้อเที่ยง มื้อเที่ยง อาหารว่างช่วงบ่ายหลังมื้อเที่ยง อาหารว่างช่วงบ่ายแก่ๆ มื้อเย็น และอาหารว่างรอบดึก

อย่างไรก็ตามรายงาน Food Trips เผยว่าผู้บริโภคมีพฤติกรรมการทานอาหารว่างน้อยลง ในขณะที่เพิ่มการทานอาหารมื้อหลักอย่างมื้อเช้า กลางวัน เย็น มากขึ้นเมื่อเทียบระหว่างปี 2560 และ 2559 โดยมื้อเย็นนั้นมีอัตราการเติบโตสูงสุดที่ 5% เมื่อเทียบกับมื้ออื่นๆ

การเติบโตและมนต์เสน่ห์ของร้านคาเฟ่ (ชา/กาแฟ)

เมื่อพูดถึงพฤติกรรมการทานอาหารนอกบ้าน คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงการดื่มชา/กาแฟซึ่งเป็นหนึ่งในเทรนด์การทานอาหารของคนไทยและมีการเติบโตที่น่าสนใจ ทั้งนี้อัตราการเข้าถึงของคอฟฟี่ชอปอยู่ที่ 60% ทั่วประเทศ โดยที่กรุงเทพนั้นมีอัตราที่สูงกว่า (69%) เมื่อเทียบกับต่างจังหวัด (53%) และเฉลี่ยแล้วผู้บริโภคชาวไทยจะเข้าร้านชา/กาแฟประมาณ 6 ครั้งต่อเดือน ในขณะที่ผู้บริโภคในกรุงเทพนั้นเข้าร้านกาแฟโดยเฉลี่ยถึง 8 ครั้งต่อเดือน เหตุผลหลักคือเพื่อความรู้สึกสดชื่นและตื่นตัวระหว่างวัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามองลึกลงไปถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ดื่มกาแฟที่แยกเป็นแต่ละประเภท จะเห็นได้ว่าสัดส่วนของกลุ่มที่ดื่มกาแฟเพราะว่าแบรนด์ของกาแฟนั้นสามารถสะท้อนและส่งเสริมภาพลักษณ์ของตน มีจำนวนที่โตขึ้น  เพราะฉะนั้น นอกเหนือจากคุณภาพและการบริการที่ดีแล้ว การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและมีจุดยืนที่ชัดเจนก็เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจกาแฟควรคำนึงถึงเพื่อดึงดูดลูกค้าในอนาคต

อาหารพร้อมรับประทาน จับใจผู้บริโภคต่างจังหวัด

ประเภทอาหารพร้อมรับประทาน หรือ Ready to Eat เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และอัตราการเติบโตในต่างจังหวัดมีมากกว่าในกรุงเทพ ทั้งนี้กว่า 7 ใน 10 ของผู้บริโภคในต่างจังหวัดบริโภคอาหารพร้อมรับประทาน

โดย Nielsen พบว่า อาหารพร้อมรับประทานประเภทแช่เย็น (Chill RTE) นั้นมีการเติบโตที่ 9% ประเภทอาหารแช่แข็ง (Frozen RTE) มีการเติบโตที่ 7% และประเภทอาหารพร้อมทานในอุณภูมิห้อง (Ambience RTE) มีการเติบโตที่ 1% ในต่างจังหวัดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักที่ผู้บริโภคไม่ต้องการทำอาหารเองนั้นเป็นเพราะต้องใช้เวลาในการเตรียมวัตถุดิบต่างๆ และไม่ชอบในส่วนของการทำความสะอาดหลังทำอาหาร 

“ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน ทำให้เกิดปรากฏการณ์สองขั้ว (polarizing phenomenon) ในกลุ่มผู้บริโภคที่รับประทานข้าวนอกบ้าน (นั่นคือมีกลุ่มคนที่รับประทานข้าวนอกบ้านมากขึ้น) และคนอีกกลุ่มที่ ‘เลือก’ มากขึ้นในการรับประทานข้าวนอกบ้าน เราจะเห็นได้ว่าผู้บริโภคที่รายได้ระดับกลางถึงต่ำได้รับผลกระทบจากภาพรวมทางเศรษฐกิจนี้ ทำให้พวกเขาเริ่มที่จะระมัดระวังในการรับประทานข้าวนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งเราเห็นได้ถึงรูปแบบการรับประทานอาหารนอกบ้านที่ต่างกันออกไปปีต่อปี แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ และความสามารถในการตามทันการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบริษัทต่างๆ ในการคงไว้ซึ่งจุดยืนในการแข่งขันทางธุรกิจและเพื่อให้เราสามารถรู้เท่าทันเกมส์กลยุทธ์ที่จะนำมาปรับใช้” คุณสมวลีกล่าวปิดท้าย