Site icon Thumbsup

AVG แนะสินค้าไทยบุกตลาดจีนผ่าน Influencer

ประเทศจีนนับว่าเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับนักลงทุนไทย ปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปจีนมูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็น 12.4% ของการส่งออกไทยทั้งหมด และจีนก็เข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยคาดว่าในปีหน้าจะมากถึงกว่า10.8 ล้านคน

และแน่นอนว่า ด้วยการแข่งขันในตลาดสินค้าจีนที่ดุเดือด ทำให้จำนวน Influencer ชาวจีนมีเยอะ การที่แบรนด์เลือกใช้กลยุทธ์นี้ อาจมีทั้งได้ผลและไม่ได้ผล เพราะเป็นวิธีที่ยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวจีน แต่ทำแล้วจะอยู่ได้นานแค่ไหนก็อยู่ที่วัฏจักรของสินค้า และเหตุผลที่ชาวจีนเชื่อมั่นมากนั้น เป็นเพราะกฏระเบียบและความรับผิดชอบของ Influencer เอง โดยคนกลุ่มนี้จะมีกฏหมายกว้างๆ ครอบอยู่ คือ  ห้ามโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ไม่ได้ใช้งานจริง ห้ามหลอกลวงประชาชน ทำให้ต้องระวัง ซึ่งกรอบใหญ่นี้ มีรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจจะถูกดำเนินคดีได้ ทำให้ Influencer เองก็ต้องระวังและไม่เสี่ยงในสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

นางชฎากร ธนสุวรรณเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท  AVG Thailand  จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งในจีนระดับแนวหน้าของเอเชีย ในเครือ บริษัท วายดีเอ็ม ไทยแลนด์ จำกัด เล่าให้ฟังว่า การทำตลาดของ influencer จะมี 2 รูปแบบ คือ โฆษณากับ pr หรือใส่ hashtags เพื่อให้ย้อนกลับไปอ่านที่หน้าผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ซึ่งวิธีนี้เหล่า micro influencers จะนิยม รวมทั้งการโฆษณาผ่านกลุ่ม wechat group จะค้นหาไม่ได้ แต่มีคนร่วมในกลุ่มรองรับได้มากสุด 500 คน แต่การทำรีวิวแบบเขียนเป็นบทความจะดีกว่า เพราะมีคนค้นหาเจอเยอะและคนจีนก็ชอบค้นหาผ่านระบบ Baidu เหมือนคนไทยใช้ Google 

ประเทศจีนมีคนเป็น Influencer กันมาก เพราะค่าตอบแทนสูง แต่การแข่งขันก็สูงเช่นกัน ทำให้หลายคนมีการลงทุนด้านโปรดักชั่นให้ดี เป็นที่กล่าวถึง ไม่ใช่แค่มีกล้องตัวเดียว เพราะจะมีทีมงาน กล้องวีดีโอ ไมโครโฟนเพื่อให้การรีวิวหรือแนะนำเป็นแบบมืออาชีพที่สุด ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจึงสูง หากเป็นดาราก็จะอยู่ที่หลักล้านหยวน/ครั้ง/โพสต์ อย่างคนดังระดับเอเชียนี่ก็มีหลายคนที่น่าสนใจ ถ้าเป็นคนไทย ไมค์ พิรัชต์ ก็เป็นอันดับ 1 ด้านผู้ติดตามและแบรนด์ให้ความสนใจสูงมาก

ส่วนคนทั่วไปก็มีตั้งแต่หลักหมื่นหลักแสนหยวน ซึ่งจะต้องดูที่ยอด Follower ด้วยว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อดีไหม ไม่ใช่แค่คนที่เข้ามากด Like, Comment, Share แต่ต้องมีตัวตนในการซื้อขายสินค้าได้จริง ด้านเครื่องมือที่ Influencer ใช้งานก็จะเป็น Weibo, Wechat หรือถ่ายวีดีโอเพื่อทำเป็น Social Commerce ก็มาแรงเช่นกัน

ทางด้านของเทรนด์ดิจิตอล มาร์เก็ตติ้งที่มาแรงในจีน ประจำปี 2018 นั้น ต้องยอมรับว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซกับโซเชียลมีเดียนั้นถือเป็นเรื่องเดียวกัน ต่างกับไทยและอเมริกา อย่าง WeChat จะถือเป็น Social Media Platform ที่ได้รับความนิยมในคนจีนเป็นอย่างมาก เพราะมีฟีเจอร์ซับพอร์ทให้คนสามารถทำธุรกิจใน รวมทั้ง WeChat ยังมี customer engagement, customer relationship management (CRM), บริการ online-to-offline (O2O) ฯลฯ ทำให้แบรนด์สามารถพูดคุยกับลูกค้าได้โดยตรงไปจนปิดการขาย ขณะที่ Weibo เองก็มีฟีเจอร์ที่ส่งเสริมในส่วน Corporate ของบริษัทให้คลิกตรงไปที่ E-commerce Platform ได้ทันที

ข้อแนะนำในการทำตลาดที่จีนให้ประสบผลสำเร็จนั้น อย่างแรก คือ  “สินค้าต้องดี” สินค้าไทยเรามีเอกลักษณ์และจุดเด่นในแง่คุณภาพ เจ้าของสินค้าต้องรักษาส่วนนี้เอาไว้ให้ได้ ต้องรู้จักสร้างบาลานซ์ระหว่างสินค้าไทยให้สามารถปรับตัวได้เข้ากับความนิยมของท้องถิ่นนั้นๆ แต่ขณะเดียวกันต้องรักษาเอกลักษณ์ความเป็นสินค้าไทยเอาไว้ให้ได้ อย่าปรับซะจนลูกค้าคิดว่านี่คือสินค้า “Made in China”

“เมื่อจะไปทำตลาดในจีน เราต้องมีความรู้ความเข้าใจในตลาด ตั้งแต่ระบอบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไร ลูกค้ามีพฤติกรรมความต้องการอย่างไร คู่แข่ง หรือ ซับพลายเออร์เป็นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องกฎหมาย ต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างดี”

ส่วนการทำ SEO ในจีนนั้นก็ไม่ง่าย มีความซับซ้อนและค่า Search engine marketing (SEM) ค่อนข้างสูง ฉะนั้นต้องศึกษาให้ดี ดู Social Search ควบคู่ตามไปด้วย และ สุดท้าย คือ เมื่อทำการตลาดออน์ไลน์ไปแล้ว ต้องทำให้เกิด Action ตามมาที่ช่องทาง Offline ด้วย

สำหรับสินค้าไทยยอดนิยม ตามข้อมูลใน Tmall แพลตฟอร์ม B2C ที่ใหญ่ที่สุดในจีน โชว์ตัวเลขให้เห็นว่าสินค้าประเภท หมอนยางพารา, ข้าว, ขนมขบเคี้ยว ยังเป็นสินค้าขายดีและเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าคนจีน

ส่วนสินค้ากลุ่มที่มาแรงและมีแนวโน้มได้รับความนิยมในตลาดจีน เป็นกลุ่มสินค้าประเภท สกินแคร์, เครื่องสำอาง เนื่องจากปัจจุบันคนจีนแบนสินค้าเกาหลี จึงนับเป็นโอกาสดีที่สินค้าไทยจะไปสร้างยอดขายในจีน

มองเห็นโอกาสกันบ้างรึยังคะ คงมี SME และแบรนด์ระดับโลกมากมายอยากเข้าไปขายของในจีนเพื่อหวังกวาดรายได้ใหม่ๆ งานนี้พี่ไทยก็อย่าพลาดนะคะ