Site icon Thumbsup

ขอดเกล็ด Banksy มือบอน/ศิลปิน/graffiti ระดับโลกที่ไม่ใช้ Facebook

 

Banksy เป็นศิลปินระดับโลกที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริง ความลับนี้ทำให้โลกรู้เพียงว่าเขา (หรือเธอ) เป็นศิลปินข้างถนนที่สร้างผลงานตามสถานที่สาธารณะเช่นบนผนังของอาคาร ผลงานที่โดดเด่นและจดจำได้ง่ายส่งให้ Banksy กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฐานะศิลปินที่จะกระตุ้นให้สังคมคิดตามข้อความเสียดสีทางการเมืองที่เขาเสนอผ่านงานสะดุดตา ทั้งหมดนี้ Banksy ใช้เว็บไซต์ www.banksy.co.uk เป็นศูนย์กระจายข้อมูลของตัวเขาร่วมกับบัญชี Instagram เท่านั้น โดยยืนยันว่าไม่มีบัญชีอื่นใดบน Facebook และ Twitter

Banksy ถือเป็นกรณีศึกษาน่าสนใจเรื่องการสร้างแบรนด์ เพราะที่ผ่านมา การเขียนภาพบนผนังของ Banksy นั้นผิดกฏหมาย แต่ก็ถูกนำเสนอเป็นข่าวดังหลายครั้งเพราะการเสียดสีการเมืองและสังคมได้อย่างเจ็บแสบตรงจุด งานของ Banksy มีทั้งเนื้อหาตีแผ่การกดขี่ข่มเหงในปาเลสไตน์ ความเจ้าเล่ห์ในระบบการเมือง และความโลภของสังคมทุนนิยมในลอนดอน การสั่งสมชื่อเสียงทำให้งานของ Banksy มีมูลค่าหลักล้านปอนด์ขึ้นไปในแกลเลอรี่ทั่วโลก

จุดเริ่มต้นของ Banksy คือการทำกราฟฟิตีที่บ้านเกิดอย่างเมือง Bristol หลังจากเป็นส่วนหนึ่งของทีม DryBreadZ ชื่อ “Banksy” ก็เริ่มถูกนำมาใช้เพื่อระบุตัวตนของงาน ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมในวงการที่สามารถสร้างแบรนด์และหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมได้ จุดนี้บางข้อมูลระบุว่า Banksy ยังเป็นนักดนตรีและนักเขียนภาพกราฟฟิตี 3 มิติ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเทคนิกการเขียนภาพกราฟฟิตีด้วยการฉีดสเปรย์มือเปล่า จนทำให้เทรนด์จากอังกฤษขยายไปปรากฏที่สายรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ก

จุดเริ่มต้นสำคัญ

แนวทางสร้างงานของ Banksy ชัดเจนว่าได้รับอิทธิพลจากศิลปิน graffiti ฝรั่งเศสชื่อ Blek le Rat ที่เริ่มวาดสัญลักษณ์รูปหนูบนผนังอาคารในปารีสตั้งแต่ปี 1980 จุดนี้ Banksy รับมาทั้งสไตล์ภาพและการแฝงข้อความทางการเมือง โดยแทนที่จะใช้การวาดด้วยกระป๋องสเปรย์แบบฟรีแฮนด์เช่นนักเขียน graffiti ส่วนใหญ่ แต่ Blek ใช้ stencil หรือการตัดกระดาษไขเป็นรูปฉลุ แล้วพ่นสีลงไปประกอบกันเป็นภาพเสมือนจริง

Banksy เล่าว่าใช้เทคนิคนี้เพราะเบื่อการวาดด้วยกระป๋องสเปรย์ ดังนั้นฉันจึงเริ่มตัดลาย stencil แทน สำหรับประเด็นที่ Blek มีอิทธิพลและเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนามุมมองการเมืองนั้น Banksy เคยให้สัมภาษณ์ว่า “หากคุณมอมแมม ไม่สำคัญ และไม่มีใครชื่นชอบ หนูนี่ล่ะที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุด”

งานของ Banksy ในเทคนิกใหม่เริ่มปรากฏทั่วบริสตอลบ้านเกิดตั้งแต่ปี 1992 พร้อมกับมุมมองเฉียบแหลมที่มุ่งเป้าโจมตีความหน้าซื่อใจคดทางการเมือง และความอยุติธรรมทางสังคม ในการสัมภาษณ์กับสื่ออย่าง Herald Scotland ในปี 2001 ตัว Banksy ยอมรับว่าอีกด้านหนึ่งของงานศิลป์ของเขาคือความต้องการทำลายระบบทั้งหมด ให้เหลือแต่ซากไร้ชีวิตของพวกผู้พิพากษาและเหล่าตำรวจ ด้านมืดของงานทำให้ Banksy ถูกมองว่าเป็นวีรบุรุษต่อต้านความอยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังจากที่ Banksy เข้ามามีส่วนร่วมกับเพื่อนกลุ่มใหม่ในลอนดอนซึ่งช่วยเพิ่มภาพลักษณ์และการจดจำให้กับสาธารณชน

ภาพจาก stencil ลายฉลุรูปหนูและชิมแปนซีปรากฏขึ้นรอบกรุงลอนดอนจนได้รับความสนใจจากสื่อหลักของประเทศ เวลานั้น Banksy ทำงานใกล้ชิดกับช่างภาพ Steve Lazarides ซึ่งกลายมาเป็นตัวแทนและนักประชาสัมพันธ์ของเขา ทั้งคู่ได้ตีพิมพ์หนังสือชุดหนึ่งคือ Brandalism, Existencilism and Cut Out and Collect หนังสือนี้ขึ้นแท่นเป็นผลงานของ Banksy ที่ได้รับความนิยมสูงและยกระดับโปรไฟล์ด้านสื่อของ Banksy อย่างชัดเจน

ต้านแบรนด์ เหยียดทุน

Brandalism นั้นเป็นคำผสมระหว่าง brand และ vandalism ซึ่งคำหลังนั้นหมายความถึงการทำลายทรัพย์สินของรัฐหรือของเอกชน Banksy หยิบยืมคำนี้มาจากวัฒนธรรมพังค์ของอเมริกัน พัฒนาเป็นการปรับใช้เทคนิคและภาษาที่แบรนด์มักใช้ในภาพโฆษณาผ่านสโลแกน กลายเป็นรูปภาพเรียบง่ายที่โจมตีแบรนด์ทุนนิยมอย่าง Tesco ถึง Nike บนสถานที่สาธารณะอย่างชาญฉลาด

งานแต่ละชิ้นของ Banksy กลายเป็นอีเวนท์ที่ทรงพลัง โลกเริ่มมอง Banksy เป็นตัวละครที่สวมหน้ากากช่วยเหลือสังคมอย่างโรบินฮู้ด ประเด็นนี้ Banksy ยืนยันว่า หากใครต้องการบอกอะไร แล้วมีสาธารณชนรับฟัง ใครคนนั้นจะต้องสวมหน้ากากปิดใบหน้าไว้

Banksy ไม่หยุดอยู่ที่การเสียดสีแบรนด์และระบอบต่างๆในสังคม แต่ขยายผลเส้นทางชีวิตไปยังโลกศิลปะ แทนที่จะส่งผลงานไปที่แกลอรี่เหมือนศิลปินคนอื่น Banksy ลงมือเป็นเจ้าภาพจัดนิทรรศการศิลปะบนท้องถนนในสถานที่ที่เข้าข่าย “ผิดปกติ” เช่นในอุโมงค์ร้าง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่กราฟฟิตีของ Blek le Rat โจมตีโลกศิลปะของปารีส

Banksy ตัดสินใจนำงานศิลปะออกมาจากแกลเลอรี่ที่เขามองว่าสกปรก แล้วนำเข้าไปวางในสถานที่ที่ถูกลืม เรื่องนี้ Banksy บอกว่าที่แกลเลอรี่ศิลปะ มักจะมีแต่นักท่องเที่ยวที่กำลังมองหา “ตู้เก็บรางวัล” ของเศรษฐีสัก 2-3 คน แต่ Banksy ต้องการให้ศิลปะเป็นที่เปิดเผยสำหรับทุกคน

ผลงานลือลั่นของ Banksy ปรากฏในปี 2005 ซึ่งทำให้เกิดเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่หลายคนอยากเดินทางมาชม เวลานั้น Banksy ต้องการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาอิสราเอลและปาเลสไตน์ จึงเดินทางไปยังตะวันออกกลางและลงมือสร้างงานที่กำแพง West Bank แบบเสียดสีอิสราเอลด้วยภาพชายกำลังปาระเบิดดอกไม้ ผลงานนี้ทำให้มีการถกเถียงอย่างดุเดือดในสื่อมากกว่าการตัดสินว่าการมือบอนของ Banksy เป็นเรื่องผิดกฎหมาย เรื่องนี้ Banksy บอกติดตลกว่าเวลานั้น กำแพง West Bank เป็นจุดหมายที่นักเขียน graffiti หลายคนอยากเดินทางมาฝากผลงานไว้

มูลค่าทะลุล้าน

ช่วงปี 2006 เป็นต้นมาคือปีทองที่ Banksy เริ่มโกยเงินจำนวนมากจากการขายผลงานให้คนดังระดับโลก ภาพของ graffiti มือทองมีราคาหลักล้านขึ้นไปแต่ก็ไม่ระคายขนหน้าแข้งนัดออกแบบดังอย่าง Paul Smith, นักแสดงอย่าง Brad Pitt และ Angelina Jolie ที่รู้จักในฐานะนักสะสมผลงาน Banksy ตัวยง

ความสำเร็จในการขายผลงานเหล่านี้ Banksy บอกว่าตัวเขาชอบวิธีที่ทุนนิยมมักมีช่องทางที่ลงตัว – แม้แต่กับศัตรู ที่ต้องใช้ช่องทางนั้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มีความสุขกับความโด่งดังของ Banksy ศัตรูตัวฉกาจของ Banksy คือ King Robbo ความบาดหมางพัฒนามาจากการที่ Banksy ทาสีทับงานของ King Robbo ซึ่งเป็น 1 ในนักเขียน graffiti คนแรกของลอนดอน การทาสีทับผลงานของนักเขียน graffiti ด้วยกันถูกมองว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่อาจยกโทษให้ได้ และทีมงานของ Robbo ตอบโต้ด้วยการลบล้างภาพของ Banksy สงครามนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแม้ว่า Robbo จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยทีมงาน King Robbo ยังคงมุ่งเป้าหมายไปที่ผลงานของ Banksy ทั่วลอนดอนเพราะการมองว่า Banksy ว่าเป็นคนหลอกลวง และเป็นคนชนชั้นกลางที่แสร้งทำตัวเป็นคนใต้ดิน

เมื่อเด่นดัง การสร้างผลงาน graffiti ของ Banksy ก็เริ่มมีปัญหา แทนที่จะถูกมองว่าผิดกฏหมาย แต่เริ่มมองว่าเป็นโอกาสที่จะสร้างเงิน ตัวอย่างเช่นงานชื่อ Mobile Lovers ที่ Banksy สร้างในเมษายนปี 2014 บนหน้าประตูคลับ Broad Plain Boys Club ในเมือง Bristol สโมสรนี้อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของงานของ Banksy และย้ายเข้าไปเก็บรักษาก่อนจะเก็บค่าบริการจากผู้เข้าชม ประตูนี้ถูกบันทึกว่าสามารถจำหน่ายได้ในราคา 400,000 ปอนด์ สวนทางกับชาวบ้านในชุมชน ที่มองว่าผลงาน graffiti เป็นของขวัญของเมือง ซึ่งหากใครจะได้กำไรจากการขายงานของ Banksy มันควรจะเป็นชาวเมือง

ช่วงกรกฎาคม 2014 งานของ Banksy เริ่มถูกทำลายในเวลาไม่กี่เดือน เช่นงานชื่อ Spy Booth ถูกทำลายในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกับที่เขียน แต่ในที่สุดรัฐบาลอังกฤษก็ยื่นมือเข้ามาปกป้องและมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะของสหราชอาณาจักรที่ต้องรักษาไว้

Instagram สื่อใหม่ทรงพลัง

ถึงวันนี้ Banksy ใช้สื่อใหม่อย่าง Instagram และเว็บไซต์เป็นพื้นที่เปิดตัวผลงานและวีรกรรมหลายอย่างของตัวเอง ตั้งแต่การโชว์วิดีโอเล่าเบื้องหลังการเซอร์ไพรส์ผู้ประมูลภาพชื่อ Girl With Ballon ด้วยการติดตั้งเครื่องทำลายกระดาษในกรอบรูป จนทำให้ภาพวาดทำลายตัวเองจนช็อกวงการศิลปะเมื่อปี 2018 และล่าสุดคือการเปิดตัวผลงานชื่อ Venice in Oil ที่ Banksy ป่วนเมืองด้วยการส่งพ่อค้าไปวางขายผลงานริมถนน จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตักเตือนให้พ่อค้ายุติการขายไป

วีรกรรม Girl With Ballon ที่ถูกเฉลยบน Instagram ของ Banksy เกิดขึ้นเมื่อภาพนี้ถูกประมูลไปในมูลค่าราว 1 ล้านปอนด์ Banksy กลับใช้รีโมทสั่งตัดผลงานทิ้งจนเหลือเพียงริ้วกระดาษ โดย Banksy อธิบายในตอนต้นของคลิปว่าแอบติดตั้งเครื่องทำลายเอกสารเอาไว้ด้านหลังรูปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นการทำขึ้นเผื่อไว้ในกรณีที่สักวันหนึ่งภาพนี้จะถูกนำขึ้นประมูล

แน่นอนว่าผู้ที่ประมูลงานนี้ไม่ได้รับหายนะ เพราะแม้จะต้องจ่ายเงินล้านปอนด์เพื่อแลกกับริ้วกระดาษ แต่ปัจจุบันราคาของภาพนี้พุ่งขึ้นไปอีกถึงเท่าตัวจนถูกประเมินว่ามูลค่าราว 2 ล้านปอนด์ ทุกอย่างลงล็อกที่ Banks ตั้งใจเสียดสี แถมยังเหน็บแนมประวัติศาสตร์ศิลปะได้อีก

ผลงานล่าสุดของ Banksy ในปี 2019 คือการตัดสินใจตั้งร้านร้มถนนในเมืองเวนิส บนเส้นทางไปสู่งาน Biennale ซึ่งเป็นงานแสดงศิลปะประจำปีที่สำคัญ งานชื่อ “Venice in Oil” เสียดสีปัญหาเรือสำราญขนาดใหญ่ที่จอดอยู่ในคลองเวนิส โดนใจชาวเมืองเวนิสที่กังวลกับความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวที่ทำลายทัศนียภาพของเมืองไป ในที่สุด ตำรวจท้องที่ก็ย้ายผลงานของ Banksy และร้านศิลปะออกไปจากถนน ทั้งหมดนี้ได้รับเสียงเชียร์ล้นหลามบน Instagram

Banksy ระบุใน Instagram ว่า “not on facebook, not on twitter” มีโพสต์ทั้งสิ้น 103 post ผู้ติดตาม 6 ล้านคน และที่สำคัญคือ 0 following เพราะ Banksy ไม่ติดตามใครเลย

บทสรุปของการสร้างแบรนด์ Banksy อาจไม่ได้อยู่ที่ภาพผลงานเท่านั้น แต่อยู่ที่การกระทำและมุมมองของ Banksy ที่โดดเด่นจนเป็นมูลค่าเพิ่ม และสร้างอิทธิพลให้ Banksy ส่งเสียงได้ดังก้องโลกแบบทุกวันนี้

“กำแพงเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่มาก มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดที่จะสามารถโจมตีใครสักคนได้” Banksy กล่าว.

ที่มา: : BBC