Site icon Thumbsup

“เซ็นทรัลรีเทล” เสนอขายหุ้นอย่างเป็นทางการ ในช่วงราคาที่ 40-43 บาท มั่นใจระดมทุนได้ตามเป้า

เซ็นทรัล รีเทล เสนอขายหุ้นอย่างเป็นทางการ โดยเสนอช่วงราคาที่ 40-43 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวม ไม่เกิน 74,404-79,984 ล้านบาท เรียกได้ว่าเป็น IPO ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในตลาดทุนไทย มั่นใจหลังปิดการขายจะสามารถให้เงินปันผลแก่นักลงทุนไม่น้อยกว่า 40%

คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัล รีเทล (CRC) กล่าวว่า จากร้านค้าเล็กๆ ในปี 1947 เติบโตจนกลายเป็นห้างสรรพสินค้าในวันนี้ มั่นใจว่าการขายหุ้นจะช่วยให้มีพลังในการดำเนินงานและขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในทุกกลุ่ม

หุ้น CRC ถือว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก มีนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศรวม 11 ราย สนใจมาลงทุนเป็น Cornerstone Investors ของ CRC โดยมีมูลค่ารวมกว่า 24,000 ล้านบาทที่ราคาเสนอขายสูงสุด หรือกว่า 60% ของจำนวนหุ้น IPO ในครั้งนี้ และถือว่าเป็นหุ้น IPO ที่มีมูลค่าตกลงจองซื้อก่อนโดย Cornerstone Investors สูงที่สุดในตลาดทุนไทยเท่าที่เคยมีมา”

การเสนอขายหุ้นและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการบริหารงานตลอด 72 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากในตอนนี้ เซ็นทรัล รีเทล มีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดด้วยรูปแบบธุรกิจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่นที่รวบรวมแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำหลากหลายประเภท (Multi-category) ใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มแฟชั่น กลุ่มฮาร์ดไลน์ และกลุ่มฟู้ด ในหลากหลายรูปแบบและช่องทาง (Multi-format) ที่ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ (Multi-market)

โดยมีแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย รวมไปถึงบิ๊กซี/GO! เหงียนคิม ลานชีมาร์ท ในประเทศเวียดนาม และ รีนาเชนเต ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี

นอกจากความแข็งแกร่งของ  เซ็นทรัล รีเทล จากการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกหลากหลายรูปแบบและช่องทางในหลายประเทศแล้ว เรายังเป็นผู้นำในการให้บริการผ่าน Customer-Centric Omni-channel แพลตฟอร์มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสามารถใช้ประสิทธิภาพจากเครือข่ายร้านค้าที่ครอบคลุมควบคู่ไปกับช่องทางออนไลน์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อและแตกต่างสำหรับลูกค้า พร้อมมุ่งสู่ทศวรรษแห่งการต่อยอดการเติบโตของเซ็นทรัล รีเทล

ด้านกลยุทธ์การดำเนินงาน CRC อาศัย 6 กลยุทธ์หลักในการเพิ่มขีดความสามารถและขยายธุรกิจของกลุ่ CRC ประกอบด้วย

  1. การต่อยอดความเป็นผู้นำผ่านการเติบโตด้วยตนเอง (Organic Growth) และการควบรวมกิจการหรือเข้าซื้อกิจการ (Inorganic Growth) ในประเทศไทย
  2. การใช้ประโยชน์จากธุรกิจบิ๊กซีเพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจของกลุ่ม CRC ในประเทศเวียดนาม พร้อมด้วยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร ซึ่งสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ชนบท
  3. การใช้ประโยชน์จากรีนาเชนเตเพื่อผนึกกำลังทางธุรกิจและแสวงหาโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในประเทศอิตาลีและในทวีปยุโรป
  4. การใช้แพลตฟอร์ม Omni-channel ซึ่งผสมผสานระหว่างจุดแข็งของการค้าปลีกผ่านทางออนไลน์และการค้าปลีกที่มีร้านค้าเป็นหลักเพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการ  มอบความสะดวกสบายให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแบรนด์ค้าปลีกของเซ็นทรัล รีเทลได้จากทุกสถานที่ทุกเวลา และสร้างประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าอย่างไร้รอยต่อให้แก่ลูกค้า
  5. การใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าเพื่อสร้างความภักดีของลูกค้าและเพิ่มยอดขาย 
  6. การแสวงหาโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตทั้งในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กลยุทธ์เพื่อต่อยอดการเติบโตดังกล่าวจะดำเนินการโดยทีมงานที่พร้อมด้วยความสามารถและประสบการณ์ของผู้บริหารมืออาชีพและครอบครัวจิราธิวัฒน์อย่างลงตัว พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลที่ดี ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน

คุณปิยะ งุ่ยอัครมหาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บมจ. เซ็นทรัล รีเทล (CRC) กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการขยายสาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงการปรับปรุงสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  1. การขยายสาขาใหม่ของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และโรบินสันไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์
  2. การขยายสาขาของไทวัสดุ
  3. การขยายสาขาของบิ๊กซี/GO! ในประเทศเวียดนาม
  4. การปรับปรุงสาขาต่างๆ ของแต่ละกลุ่มธุรกิจ
  5. การชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

ในส่วนของผลการดำเนินงานในปี 2561 ที่ผ่านมา ทำรายได้รวม 206,575 ล้านบาท อัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 8.3% ต่อปี มีกำไรสุทธิ 10,033 ล้านบาท ส่วน 9 เดือนแรกของปี 2562 มีรายได้รวม 159,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,298 ล้านบาท เมื่อเทียบการเติบโตจากรายได้รวมในช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้านี้ มีกำไรสุทธิ 5,860 ล้านบาท

จำนวนของหุ้นที่จะทำการเสนอขายในครั้งนี้ ไม่เกิน 1,691,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่เสนอขายในครั้งนี้ ซึ่งวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ในการรักษาระดับราคาหุ้นเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนเกี่ยวกับเสถียรภาพของราคาหุ้นในช่วง 30 วันแรกของ CRC

ทั้งนี้ การประกาศราคาอย่างชัดเจนจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งหุ้นของ CPN และ CRC จะมีความแตกต่างกัน เพราะ CRC จะโฟกัสในเรื่องของธุรกิจค้าปลีก อีคอมเมิร์ซและการขยายสาขาของธุรกิจในเครือ

หลังจากที่เปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ก็เชื่อว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ในการ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มค้าปลีกและเชื่อว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและตลาดหุ้นไทยกลับมาดีอีกครั้ง