Site icon Thumbsup

โอกาสและความเสี่ยงของ “Spotify” สู่การเป็นบริษัทมูลค่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

แฟน ๆ Spotify อาจได้เฮ เมื่อมีการคาดการณ์โดย GP Bullhound ว่า Spotify อาจกลายเป็นแอปพลิเคชันที่มีมูลค่าเกิน 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นรายต่อไป  หลังพบการเติบโตอย่างรวดเร็วใน Emerging Market 

โดย GP Bullhound ได้เปิดเผยรายงานดังกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่่ผ่านมา ซึ่งได้มีการวิเคราะห์มูลค่าของ Spotify อาจพุ่งขึ้นจาก 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐหลังจาก IPO เป็น 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2020 รวมถึงมีแนวโน้มว่าจะก้าวขึ้นเป็น 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐในอนาคตอันใกล้ด้วย

สำหรับเหตุผลเบื้องหลังของการเติบโตที่รวดเร็วนี้มาจากตัวเลขสมาชิกใหม่จากประเทศในกลุ่ม Emerging Market ที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการดีลกับบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงที่ Spotify ได้ข้อเสนอที่ดีกลับมา

โดยตัวเลขผู้ใช้งาน Spotify ที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนกรกฏาคมที่่ผ่านมาว่าอยู่ที่ 60 ล้านคน (แบบจ่ายเงิน) นั้น ทาง GP Bullhound ชี้ว่ามีโอกาสจะเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านคนได้ภายในกลางปีหน้า ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่บริษัทได้เคยคาดการณ์ไว้ และภายในปี 2020 จำนวนผู้ใช้งานในส่วนนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านคน โดยเป็นผู้ใช้งานแบบพรีเมียมถึง 200 ล้านคนด้วย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ GP Bullhound มองว่าอาจส่งผลต่อรายได้ต่อหัวของผู้ใช้บริการ Spotify ให้ลดลงก็คือการเปิดตัวแฟมิลี่แพลน และส่วนลดสำหรับนักเรียนในตลาด Emerging Market แต่หากมองในแง่ดีก็คือ ในจุดนี้ Spotify จะได้ค่าโฆษณามาทดแทน ซึ่งอาจทำเงินได้มากกว่าก็เป็นได้

สำหรับการคาดการณ์มูลค่าของ Spotify ว่าอยู่ที่ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นจะเกิดขึ้นหลังจากบริษัททำการ IPO  โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ว่าบริษัทควรจะมีผู้ใช้บริการระดับพรีเมียมที่ 70 ล้านราย และแบบ non-premium อีก 100 ล้านราย

GP Bullhound ยังวิเคราะห์ด้วยว่า Apple จะไม่สามารถเติบโตได้ทัน Spotify ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน ส่วนหนึ่งมาจากอินเทอร์เฟสของ Spotify ที่ใช้งานง่ายกว่ารายอื่น ๆ

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงของ Spotify ในตอนนี้ก็มีอยู่ นั่นคือภาพรวมของอุตสาหกรรมที่มุ่งไปสู่การรับคำสั่งด้วยเสียง ซึ่งทุกค่ายในตอนนี้มีหมดแล้ว เช่น Apple ที่มี Siri หรือ Amazon ที่มี Alexa ยกเว้น Spotify ที่ยังไม่มีผู้ช่วยดิจิทัลเป็นของตัวเอง แถม Spotify ยังไม่มีลำโพงอัจฉริยะที่จะใช้บุกตลาดเป็นของตนเองด้วย

ที่มา: CNBC