Site icon Thumbsup

ภัยคุกคามทางไซเบอร์สร้างความเสียหายองค์กรถึง 2 แสนกว่าล้านบาท

ความน่าสนใจของผลสำรวจที่ทำร่วมกันระหว่าง Microsoft และ Frost and Sullivan นั้น คือการออกมาบอกว่าองค์กรขนาดใหญ่กำลังอยู่ในความเสี่ยงและประเทศไทยกำลังเผชิญความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 408 ล้านบาท และในปีที่ผ่านมาก็มีพนักงานที่ถูกปลดจากปัญหาภัยคุกคามไปแล้วไม่น้อยก่า 60% 

รายงานวิจัยของ ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ภายใต้ความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ สำรวจ 1,300 รายจาก 13 ประเทศ ได้แก่ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย ผู้เข้าร่วมการสำรวจทุกท่านล้วนเป็นผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจและไอที และมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ขององค์กร 

รายงานวิจัยได้เผยถึง ความเสียหายทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ที่เป็นผลกระทบมาจากความปลอดภัยทางไซเบอร์สามารถส่งผลถึง 2.86 แสนล้านบาท หรือเท่ากับ 2.2 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 14,360 ล้านล้านบาท และยังพบว่า 3 ใน 5 ขององค์กรในประเทศไทยเคยได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ 15% หรือไม่แน่ใจว่าเคยถูกโจมตีหรือไม่ เพราะยังขาดกระบวนการตรวจสอบหรือวิเคราะห์การคุกคามระบบอย่างเหมาะสม 47%

นายโอม ศิวะดิตถ์ ผู้บริหารด้านนโยบายภาครัฐ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในยุคที่คลาวด์และโมบายล์คอมพิวติ้งมีบทบาทในการทำหน้าที่เชื่อมต่อธุรกิจกับลูกค้า และช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงาน ทุกองค์กรจึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงใหม่ๆ ไปพร้อมกัน เมื่อขอบเขตของระบบไอทีแบบดั้งเดิมหายไป ผู้ประสงค์ร้ายก็มีช่องทางและเป้าหมายใหม่ๆ สำหรับการจู่โจมมากขึ้น ส่วนองค์กรที่ตกเป็นเป้าก็อาจประสบความเสียหายทางการเงินเป็นมูลค่ามหาศาล และยังสูญเสียความพึงพอใจของลูกค้าและความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ ดังจะเห็นได้จากกรณีการรั่วไหลของข้อมูลของบางองค์กรที่อาจเป็นข่าวผ่านตาใครหลายคนไปในระยะหลัง

“ความเสียหายที่แท้จริงจากภัยอันตรายบนโลกไซเบอร์ ครอบคลุมทั้งเชิงเศรษฐกิจ โอกาสทางธุรกิจ และการตกงาน”

รายงานวิจัยพบว่า

ทางด้านของ ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ได้สร้างแบบจำลองขึ้น เพื่อประเมินมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอาชญากรรมไซเบอร์ โดยนำปัจจัยเชิงเศรษฐกิจองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าร่วมการสำรวจมาพิจารณา แบบจำลองดังกล่าวนี้แบ่งผลกระทบที่สามารถเกิดขึ้นได้จากเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ออกเป็น 3 แบบ ได้แก่

นายณัฐชัย จารุศิลาวงศ์ Consultant, Mobility Practice บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผลกระทบของภัยคุกคามทางไซเบอร์นั้น เปรียบได้กับภูเขาน้ำแข็ง โดยผลกระทบทางตรงจะเป็นส่วนที่เห็นได้ชัดมากที่สุด แต่ส่วนนี้กลับเปรียบเสมือนยอดเล็กๆ ของภูเขา ที่ยังมีส่วนที่มองไม่เห็นยังจมอยู่ใต้น้ำอีกมาก

การจู่โจมทางไซเบอร์สามารถก่อความเสียหายอีกมากมายที่อาจมองไม่เห็นในทันที ทั้งในทางอ้อมและในวงกว้าง จึงทำให้โดยทั่วไปแล้ว มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงของภัยร้ายเหล่านี้มักถูกประเมินไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงอยู่เสมอ

นอกจากความสูญเสียด้านการเงินแล้ว ภัยคุกคามทางไซเบอร์ยังทำลายความสามารถขององค์กรไทยในการคว้าโอกาสทางธุรกิจในยุคแห่งเศรษฐกิจดิจิทัล โดยผลสำรวจเผยว่ากว่า 73 % ของผู้เข้าร่วมการสำรวจพบว่าองค์กรของตน ได้หยุดแผนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปฏิรูปธุรกิจ เนื่องจากความกังวลด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์

ภัยร้ายที่ต้องจับตาและช่องโหว่ที่ต้องจัดการ ในกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยขององค์กรไทย

ถึงแม้ว่าการจู่โจมจากอาชญากรไซเบอร์ด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ จะเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความสนใจในหมู่องค์กรต่างๆ ได้ไม่น้อย แต่ผลวิจัยระบุว่าสำหรับองค์กรในประเทศไทยแล้ว ภัยร้ายในโลกไซเบอร์ที่มีผลกระทบสูงสุด และใช้เวลาในการแก้ไขฟื้นฟูนานที่สุด คือ การเลียนแบบตัวตนของแบรนด์ในโลกออนไลน์ การขโมยข้อมูล และการทำลายข้อมูล

นอกจากความเสี่ยงจากภายนอกองค์กรแล้ว รายงานวิจัยฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นถึงช่องว่างเชิงกลยุทธ์ขององค์กรต่างๆ ในการปกป้องระบบและข้อมูลให้ปลอดภัย

AI พร้อมเป็นแนวหน้าในการปกป้ององค์กรจากผู้ประสงค์ร้าย

เมื่อโลกดิจิทัลเป็นเสมือนสนามรบ ที่อาวุธของผู้จู่โจมพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่ช่องทางการโจมตียังคงเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว AI จึงเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการยับยั้งการโจมตีด้วยศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจจับและหยุดยั้งการจู่โจมได้ โดยจากการสำรวจพบว่า 4 ใน 5 ขององค์กรในประเทศไทยหรือ 84% ได้นำ AI มาใช้เสริมความแข็งแกร่งของระบบด้านความปลอดภัยแล้ว หรือมีแผนที่จะนำมาใช้งานในอนาคตอันใกล้

สถาปัตยกรรมด้านความปลอดภัยที่มี AI เป็นองค์ประกอบหลักจะสามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาด และอาจมองเห็นถึงจุดอ่อนหรือช่องโหว่ในระบบรักษาความปลอดภัยขององค์กรได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นจริง นอกจากนี้ องค์กรที่ใช้งาน AI ในการปกป้องระบบของตนยังสามารถทำงานได้รวดเร็วและคล่องตัวกว่าองค์กรที่พึ่งพาความสามารถของมนุษย์เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการระบุชนิดและช่องทางการจู่โจม การกำจัดภัยร้ายที่เข้าจู่โจมอย่างต่อเนื่อง และการแก้ไขปัญหาในระบบ จึงทำให้ AI มีบทบาทที่สำคัญยิ่งในกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยเชิงดิจิทัลของทุกองค์กร

ข้อแนะนำในการรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์กรยุคใหม่ในโลกดิจิทัล

AI เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งที่องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องนำมาผสมผสานหรือผนึกรวมเป็นแกนหลักของแนวทางการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างจริงจัง โดยการปกป้องให้ระบบขององค์กรปลอดภัยอย่างแท้จริงนั้น จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น บุคลากร กระบวนการ และเทคโนโลยี รวมถึงบทบาทและผลกระทบของปัจจัยเหล่านี้ที่มีต่อความปลอดภัยโดยรวมขององค์กรด้วย

เพื่อที่จะช่วยให้องค์กรสามารถต้านทานและตอบโต้กับการโจมตีทางไซเบอร์และมัลแวร์ได้ดียิ่งขึ้น องค์กรต่างๆ สามารถนำ 5 หลักปฏิบัตินี้มาปรับใช้ เพื่อช่วยยกระดับการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์มีให้ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เรื่องของปัญหาภัยคุกคามยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องป้องกันและระมัดระวังอย่างต่อเนื่องนะคะ ยิ่งไทยเป็นประเทศที่กำลังปรับตัวในหลายๆ อย่าง ทั้งโอกาสทางธุรกิจ การเข้าสู่ยุคของดิจิทัลในการทำธุรกิจ ดังนั้น จะรักษาหรือทิ้งธุรกิจที่มีในมือ ก็ต้องวางแผนให้รอบคอบแล้วค่ะ