Site icon Thumbsup

มหากาพย์แห่งสงคราม Ecosystem


editorial note: บทความนี้คือบทความพิเศษ (ที่เราเรียกว่า Guest Post) จาก @Jimmy_Live (ที่เจ้าตัวออกปากว่ามันคือบทวิพากษ์ปากหมา) โดยส่งมาให้กองบรรณาธิการ thumbsup อัพโหลดขึ้นให้ชาว thumbsup โดยเฉพาะ สิ่งที่ @Jimmy_LIVE เขียน ไม่สะท้อนแนวคิดของกองบรรณาธิการ thumbsup เป็นเพียงมุมมองของคนที่ชอบแทนตัวเองอย่างถ่อมตัวว่า ?โปรแกรมเมอร์? คนหนึ่ง แต่เราเชื่อว่าแฟนๆ หลายคนของเขาทราบดีว่าเขาคือใคร และเราก็อยากจะบอกว่าความเห็นของเขาเป็นความเห็นที่น่าสนใจและมีสไตล์ขวน ติดตามเป็นอย่างยิ่ง ว่าแล้วก็อ่านกันได้โดยพลัน
– – – – –

จริงๆ สัปดาห์นี้น่าจะเล่าเรื่อง MWC แต่เนื่องจากไม่ได้ไปงาน ส่วนคนไปคือ @mrpok กับ @pi50000 ก็ยังไม่เห็นหน้า… เลยเปลี่ยนเป็นเรื่องนี้แทน…

วันที่ 11 ก.พ. 2011 ที่ผ่านมา สตีเฟน อีลอป ได้ประกาศตัวร่วมหัวจมท้ายเอา Nokia บริษัทเก่าแก่ 146 ปีเข้าเป็นพันธมิตรกับ Microsoft เพื่อผลิตโทรศัพท์ Windows Phone 7 ตามที่เล่าให้ฟังเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตอนท้ายของการประกาศ อีลอป พูดว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันกันของโทรศัพท์ แต่มันคือ “สงครามแห่ง Ecosystem”

มาดูกันว่า “สงครามแห่ง Ecosystem” ที่ว่านั่นมันคืออะไรหรือ…

หลายคนมีความเข้าใจว่า Ecosystem ของสมาร์ทโฟนก็คือตลาดของ App ผ่าน “App Store” เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว มันกินความมากกว่านั้นหลายเท่ามาก การตัดสินใจของ อีลอป ครั้งนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า Nokia มอง Ecosystem ของสมาร์ทโฟนได้ทะลุปรุโปร่งหรือไม่

ก่อนอื่น ผมต้องขอออกตัวอีกตามเคยว่า บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ได้คิดอ่านใหญ่โต บังอาจวิจารณ์บริษัท หรือผู้บริหารยิ่งใหญ่คนไหน เป็นแค่ความเห็นของโปรแกรมเมอร์คนนึงที่ต้องทำมาหากินในแวดวงสมาร์ทโฟน เท่านั้น เมื่อมีความเห็น ก็แชร์ความเห็นออกมาผ่านบทความ ก็เท่านั้น…

คำว่า Ecosystem ของสมาร์ทโฟนนั้นผมอธิบายง่ายๆ ว่ามันคือระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับคนที่ทำมาหากินกับสมาร์ทโฟนนั่นแหละ คือ สมาร์โฟนได้ก่อให้เกิดอาชีพรอบๆ ตัวมันมากมาย เช่น Operator, คนขายเครื่อง, คนผลิตเครื่อง, ตัวแทนจำหน่าย, คนเขียนโปรแกรม, คนขายโปรแกรม, คนใช้, คนผลิต content, คนแต่งเพลง, นักดนตรี, คนสร้างเกม, หนังสือ, นิตยสาร, หนังสือพิมพ์, โรงเรียน, สถาบันการศึกษา เรื่อยไปจนถึงตลาดอื่นๆ เช่น ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร, อสังหาริมทรัพย์, โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ เจ้า Ecosystem ที่ว่ามันแผ่ขยายไปจนกว้างขวางมาก จนเรียกได้ว่าแทบทุกอุตสาหกรรมได้ถูกรวมและมีผลกระทบจาก Ecosystem ของสมาร์ทโฟนแทบทั้งสิ้น

ผมจะขอเริ่มต้นอธิบายง่ายๆ นะครับ

เริ่มต้นเมื่อโทรศัพท์มือถือเกิดขึ้น Ecosystem มันง่ายมาก มี Operator, คนผลิตเครื่อง, คนขายเครื่อง, คนใช้ แค่นั้นจบ ต่อมาเมื่อโทรศัพท์เก่งขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มลามเข้าไปสู่ตลาดอื่นๆ เริ่มต้นจาก นาฬิกาข้อมือครับ พอคนถือโทรศัพท์แล้วเนื่องจากมันมีนาฬิกา จะสังเกตว่าคนรุ่นใหม่ๆ ใส่นาฬิกาข้อมือน้อยลงมาก ยกเว้นใส่เอาเท่… นาฬิกาข้อมือเปลี่ยนตัวเองจากของที่ทุกคนใช้ กลายเป็นของเศรษฐีเก็บไว้ใส่ออกงานแทน…

ต่อมาโทรศัพท์ก็ถ่ายรูปได้ ตลาดกล้องดิจิตอลที่ขยายตัวสูงอยู่แล้ว ก็ยิ่งขยายตัวสูงขึ้นไปอีกจากกล้องในโทรศัพท์มือถือ เล่นเอาฟิลม์หายไปจากโลกนี้จนได้ หลายสัปดาห์ก่อนมีข่าวว่าฟิลม์ Kodachrome ม้วนสุดท้ายได้ถูก process ไปแล้ว…

ฟังแล้วก็ใจหายครับ

สมัยก่อนตอนใช้ฟิลม์สไลด์ถ่ายภาพ มันได้ลุ้นมากๆ กว่าจะได้เห็นรูปที่ถ่าย แถมตอนถ่ายต้องบรรจงเล็งแล้วเล็งอีก เพราะฟิล์มมันแพงเหลือกำลัง มาสมัยนี้ถ่ายไปเรื่อยๆ แค่จะทำ Avatar ยังต้องถ่ายกันเป็นพันๆ รูป ทำแก้มป่อง ตาโต หมุนซ้าย เชิดอก ทำอึ๋ม…เพื่อเลือกรูปที่ไม่เหมือนตัวเองที่สุดมาทำ Avatar เลย.. ในที่สุดกล้องดิจิตอล และกล้องในโทรศัพท์มือถือ ก็ทำให้กล้องที่ใช้ฟิล์มกลายเป็นตำนาน…

จากนั้นก็เริ่มยุค Digital Music ที่นำโดน iPod การเกิดขึ้นของ iTunes และ iPod (อ่านจากบทความที่ผมเขียนไว้เมื่อปีกลายที่นี่) การเกิดขึ้นของ iTunes และ iPod ได้ก่อให้เกิด Ecosystem ใหม่ของวงการเพลง ซึ่งนำมาซึ่งการตกต่ำของตลาด Non-digital music ในเวลาต่อมา

ต่อมาเข้าสู่ยุคของซอฟต์แวร์ แรกๆ สมัย Nokia กับ Microsoft ครองตลาดก็ไม่เท่าไหร่ เพราะมันมี Ecosystem ของ App ที่ไม่เหมาะสม ซื้อยาก ระบบเลือกสรรและนำเสนอให้ผู้ใช้ไม่ได้เรื่อง Download ได้มั่งไม่ได้มั่ง คนใช้ก็ใช้ไปแบบแกนๆ เกมแบบ Snake กลายเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจอยู่เป็นศตวรรษ หรือโปรแกรมแสดงสถานะแบ็ตเตอรี่ กลายเป็นโปรแกรมขายดีอันดับหนึ่งอยู่เกือบทศวรรษ

จนมาถึงยุคของ iPhone ที่เกิด Ecosystem ของ App ทีสมบูรณ์ขึ้นมา ก็เลยเกิดยุคทองของ App ในสมาร์ทโฟนขึ้น และทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนเองเติบโตขึ้นอย่างมาก ตลาดซอฟต์แวร์ในสมาร์ทโฟนกลายเป็นตลาดซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดใน ประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เคยมีมา

ต่อมาก็ถึงยุคของ iPad ที่ถล่ม Netbook computer เสียยับเยิน แย่งเอาตลาดคอมพิวเตอร์มาได้มากพอสมควร และเชื่อว่าจะเป็นตลาดที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ถึงจดเปลี่ยนแปลง คู่หู Intel-Microsoft ที่กินตลาด “Win-Tel” อยู่อย่างอิ่มหมีพีมัน ตั้งตัวแทบไม่ติด กลายเป็นตลาดของ CPU หลากหลายบนระบบปฎิบัติการใหม่ๆ บนเครื่อง platform ใหม่ ตลาดพลิกชนิดหน้ามือเป็นหลังตรีน

iPad ได้รุกรานต่อไปยังตลาดของหนังสือพิมพ์และแมกกาซีน จนเขย่างวงการพิมพ์ขนาดที่คุณปู่ รูเพิร์ด เมอร์ด็อก อดรนทนไม่ได้ต้องออกนิตยสาร “The Daily” มาเป็นนิตยสารดิจิตอลแบบเต็มตัว วงการ อีบุ๊กก็ขยายตัวอย่างหนัก จนยอดขาย E-book แซงหน้าหนังสือกระดาษไป แม้ว่าเครื่องอ่าน E-book แบบ Kindle จะไปได้สวยงามมาก แต่ในเวลาไม่กี่เดือน จำนวนผู้อ่าน Kindle บน iPhone กับ iPad ก็แซงหน้าเครื่อง Kindle ไปแบบสบายๆ

ตลาดโฆษณาก็ถูกรุกรานโดยสมาร์ทโฟน ล่าสุด Nielsen ก็ออกมาประกาศว่าโฆษณาในสมาร์ทโฟน (iOS) ได้ประสิทธิผลมากกว่าทีวี เล่นเอาวงการโฆษณาพลิกงบประมาณกันแทบไม่ทัน โฆษณาในสมาร์ทโฟนเติบโตอย่างรวดเร็ว

วงการอื่นๆ ที่ได้ผลกระทบก็ได้แก่ตลาด แผนที่ โดน Google Map ถล่มจนน่าเชื่อได้ว่าปริมาณความต้องการแผนที่กระดาษจะลดลงอย่างมาก เรื่อยไปจนถึงตลาดโปรโมชั่น ที่เกิดตลาดใหม่ๆ แบบ Groupon ขึ้นมา…

เจ้า Ecosystem ในสมาร์ทโฟน ได้เกาะเกี่ยวเอาอุตสาหกรรมรอบข้างเข้ามาร่วมชนิดที่เรียกว่ามีผลกระเทือนไป หมดทุกอุตสาหกรรม คนที่หากินหลักๆ ในสมาร์ทโฟน ซึ่งได้แก่ Operator, Handset Manufacturer, Handset Distributor/Reseller, Software Development, AppStore, Content Aggregator, Media Market, Media Publisher, Media Creator เป็นกลุ่มหลักที่อยู่ใน Ecosystem นี้ แต่ผลของ Ecosystem นั้นกระจายไปยังทุกอุตสาหกรรมอย่างที่ว่า

ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดใน Ecosystem ของสมาร์ทโฟน ก็คือ Apple ซึ่งกำหนดทิศทางของ Ecosystem นี้มาตั้งแต่ปี 2007 จากการเกิดขึ้นของ iPhone-iTunes-AppStore เรื่อยมาจนถึง iPad-InApp Purchase-Subscription ที่กำลังทะเลาะกับ Media publisher อย่างถึงพริกถึงขิงอยู่ตอนนี้

Google เป็นคู่แข่งที่ขึ้นมากระทบไหล่ Apple ได้ด้วย Model ที่ต่างออกไป จาก Internet ecosystem model (Free Economy) – Open Source – Cloud – Non-restricted AppStore และกำลังจะเปิดตัว E-book และ Music market ในสัปดาห์หน้านี้ ทำให้ Apple ไม่สามารถครองตลาดได้ทั้งหมด แถม Android ก็ดูเหมือนมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดไม่แพ้กัน

Microsoft แม้จะแพ้ในรอบแรก ก็ฮึดทำ Windows Phone 7 ขึ้นมาสู่ และในที่สุดก็ได้ Nokia เข้ามาร่วมแนวรบ แน่นอนว่าทั้งสองคงสามารถทำให้ปริมาณของ Windows Phone 7 นั้นมีจำนวนเครื่องในตลาดเพิ่มขึ้นแน่ แต่อย่าลืมว่า Ecosystem ของสมาร์ทโฟนนั้นใหญ่กว่าเรื่องจำนวน Handset มาก

ปี 2011 เป็นปีที่มีการคาดหวังว่าตลาดของ smart devices จะ shift ไปที่ Tablet เพราะ iPad นั้นได้แสดงให้เห็นว่ามีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า iPhone ด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ทำให้ Android Tablet เรียงหน้าออกมาแทบจะนับไม่ถ้วนในงาน MWC เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

การ ที่ Nokia ละทิ้ง MeeGo ซึ่งเป็น OS ที่น่าจะเหมาะกับ Tablet จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อย แม้ว่า Microsoft จะประกาศว่า Windows 8 Tablet ที่ใช้ ARM จะเริ่มออกมาให้เห็นในปลายปีนี้ แต่ก็ยังเป็นแค่สายลม…
กลับมาดูที่ Ecosystem ของ Apple นะครับว่ามันมีความสมบูรณ์ขนาดไหน…

iPad นั้นราคาต่ำสุดอยู่ที่ $500 (เมืองไทยประมาณ 15,500 บาท) ราคานี้ไม่มีเจ้าอื่นทำได้ ขนาด Samsung Galaxy Tab จอขนาด 7 นิ้ว ยังต้องขาย $600 (ราคาลดแล้ว) หรืออย่าง Motorola XOOM ที่กำลังฮ็อต ต้องวางราคาที่ $800

ทำไม Apple ขาย iPad ได้ถูกนัก อย่างแรกคือ Apple มี Apple Store ที่แข็งแกร่ง ขายทั้งใน Store และ Web ได้มาก เป็นการขายต่อเดียว ไม่ผ่าน Distributor ไม่ผ่าน Dealer ทำให้ Price cascade ไม่สูง (สินค้าเทคโนโลยีเมื่อผ่านไปได้ระยะหนึ่งราคาจะตกลง แต่สำหรับ Apple จะตกลงไม่มาก – ผู้เรียบเรียง) และมีชั้นเดียว อีกทั้งทุกเครื่องที่ขายออกไปนั้น Apple ยังทำเงินได้จาก iTunes (เพลง, หนัง), AppStore (โปรแกรม), iBook (หนังสือ), iAd (โฆษณา), in-app Purchase (โปรแกรม,เกมส่วนเพิ่ม), Subscription (แมกกาซีน, สมาชิก)

นี่แหละครับที่เรียกว่า Ecosystem ที่สมบูรณ์ของ Apple ที่ลากเอาอุตสาหกรรมต่างๆ เข้าไปทำเงิน ทั้งอุตสาหกรรม เพลง หนัง โปรแกรม เกม หนังสือ แม็กกาซีน โฆษณา ฯลฯ
อีกไม่นานก็จะเริ่มลามปามต่อไปถึงระบบจ่ายเงินต่างๆ ครับ เพราะเริ่มเข้าสู่ยุคของ NFC แล้ว ปีหน้า Ecosystem นี้จะลามต่อไปถึงการจ่ายเงิน micro-payment ทั้งหลายแน่ เช่น หยอดตู้โค๊ก, บัตรรถไฟฟ้า, รถเมล์, ซื้อหนังสือพิมพ์, ซื้อของในเซเว่น, จ่ายค่าจอดรถ ฯลฯ

เห็นหรือยังครับว่า Hardware vendor อื่นนั้นสู้ Apple ได้ยากมาก อย่างผู้ผลิต Android Phone ทั้งหลาย ไม่ได้รายได้เพิ่มหลังขายเครื่องเหมือนกับ Apple นะครับ รายได้ไปอยู่กับ Google ดังนั้นค่าเครื่องจึงไม่สามารถทำต่ำได้เท่ากับ Apple

สภาพเดียวกันก็เกิดกับ Nokia เหมือนกัน หากไม่จัดการให้ไดประโยชน์จาก Ovi store แต่เอาไปรวมกับ Marketplace ซะงั้น อาจทำให้เครื่อง Nokia ที่ประกาศว่าจะทำ Windows Phone 7 ราคาต่ำนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ Apple เองก็มีข่าวแพลมๆ มาว่าจะทำเครื่อง iPhone ในระดับ $200 ออกมาในปีนี้…งานนี้แหละครับ ตั้งรับกันขนานใหญ่แน่…

คอยดูกันต่อครับ สัปดาห์หน้าวันพฤหัส เป็นวันเกิดของอีตาสตีฟ จ๊อบส์ Apple จะฉลองใหญ่ครบรอบ 56 ปีศาสดาด้วยการออก Mac Book ใหม่ทั้ง series (ข่าวลือนะ ไม่รู้จริงป่าว…) ตอนนี้ผมต้องเอาธรรมะเข้าข่มอย่างหนัก เพราะเงินที่หยอดกระปุกหมูไว้ตอนนี้ตั้งใจจะซื้อมอเตอร์ไซค์….กำลังกลัว ว่ามันจะกลายเป็น MacBook Pro ตัวใหม่…

จบละครับ วันนี้ไม่ค่อยเฮฮา เรื่องมันเครียด อีกทั้งไม่ค่อยสบายด้วย…

ภาพ: smemon87