Site icon Thumbsup

วิเคราะห์สถานการณ์อีเว้นท์ที่กลับมามีความหวังอีกครั้งหลังโควิด

จากวันที่เริ่มต้นมีโควิดช่วงปลายปี 2019 ถึงต้นปี 2020 จนมาถึงวันนี้กลางปี 2022 สถานการณ์โควิด-19 ถือว่ากำลังจางลงจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว หากนับย้อนกลับไปธุรกิจที่เจอผลกระทบหนักที่สุด คงหนีไม่พ้นกลุ่มท่องเที่ยวและอีเว้นท์ ที่ถือว่าเป็นสองธุรกิจที่สร้างรายได้เข้าประเทศไทยได้มากที่สุดในตลอดหลายปี

และเมื่อสถานการณ์หยุดชะงักเม็ดเงินจากการอีเว้นท์ของปี 2563 – 2564 หายไปหลายพันล้านบาท แม้ช่วงล็อกดาวน์หลายอีเว้นท์ได้มีการปรับตัวไปใช้รูปแบบ Virtual Event แต่ก็ต้องยอมรับว่าการรับชมผ่านรูปแบบออนไลน์ ยังขาย “เสน่ห์” บางอย่างมาสู้กับการสัมผัสประสบการณ์จริงไม่ได้

thumbsup ได้คุยกับ คุณโอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MVP เกี่ยวกับการจัดงาน Thailand Crypto Expo มหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดครั้งแรกในประเทศ และได้จัดงานควบคู่ไปกับงาน Thailand Mobile Expo ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการปรับตัวของการจัดงานอีเว้นท์อย่าง Thailand Mobile Expo ซึ่งมีมาแล้วกว่า 39 ครั้ง แต่ครั้งนี้กลับคาดหวังว่า Thailand Crypto Expo จะกลายมาเป็นโอกาสในการฟื้นตัวของอีเว้นท์ใหญ่ให้กลับมามีสีสันอีกครั้ง

เมื่อธุรกิจโมบายซบ ตลาดคริปโตอาจเข้ามาแทนที่

คุณโอภาส เล่าว่า การที่เราจัดงาน Thailand Crypto Expo และ Thailand Mobile Expo เนื่องจากปัญหาในการขาดแคลนชิปเซ็ตของแบรนด์ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งนวัตกรรมในโทรศัพท์มือถือเริ่มนิ่ง ไม่มีอะไรแปลกใหม่ จึงทำให้อุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือมีอาการชะลอตัวลง

ในฐานะผู้จัดงานฯ จึงตัดสินใจเพิ่มเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยและทั่วโลกในปัจจุบัน นั่นก็คือ สินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโต เพราะมองเห็นว่าคนที่จะมาเดินประเภทนี้เป็นกลุ่มคนเดียวกันกว่า 50% คือเป็นคนรุ่นใหม่ ชอบเทคโนโลยี รักการลงทุนและมีเงินเหลือ ซึ่งกลุ่มคนเล่นคริปโตถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ (New Wealth) ที่ไม่ชอบการลงทุนในหุ้นรูปแบบเดิม แต่จะลงทุนในกลุ่มดิจิทัล

ดังนั้น การทับซ้อนกันของคนที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกันสองกลุ่มนี้ จะได้ซื้อสินค้าในราคาที่ถูกกว่าคนที่กำเงินสดมาเพื่อซื้อสินค้าหรือรอส่วนลดและของแถมจากแบรนด์แบบในยุคก่อน เนื่องจากการจัดงานช่วงกลางปีในครั้งนี้ ต้องยอมรับว่ามีหลายแบรนด์หายไป เพราะต้องการช่วยพยุงดีลเลอร์ที่กำลังประสบปัญหาหนักก่อน หากคนมาเดินในงานจะเห็นว่าสีสันอย่างพวก Accessories หายไปจากการจัดงานในครั้งนี้เยอะมาก เพราะรายย่อยเหล่านี้คือโดนดิสรัพจากช่องทางออนไลน์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์

สำหรับการประเมินคนที่มาร่วมงานเราอาจบอกตัวเลขที่ชัดเจนไม่ได้ ส่วนหนึ่งยังมีความกังวลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเรื่องโควิด-19 อยู่ แบรนด์ที่เคยจัดใหญ่เรื่องส่วนลดและของแถมก็หายไปเยอะ หากไม่ใช่คนที่เครื่องพังหรือหน้าจอแตกจริงๆ ก็คิดว่าคงยังไม่ตัดสินใจจะซื้อเครื่องใหม่จากงานในครั้งนี้ รวมทั้งเรื่องสำคัญคือเรื่องของ “เงิน” ท่ีเป็นปัจจัยหลักให้หลายคนตัดสินใจรอก่อน

ตลาดคริปโต กลยุทธ์ใหม่ที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม

แม้จะมีหลายแบรนด์ให้ความสนใจในการนำ Coin มาใช้ซื้อขายสินค้ากันมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่ของคนทำงานหน้าร้าน พนักงานที่ยังไม่เข้าใจกระบวนการในการซื้อขายสินค้าผ่านคอยน์ ทำให้ผู้จัดงานฯ ประเมินว่าทักษะในการขายสินค้าเทคโนโลยีของคนก็ต้องตามทันยุคสมัยเช่นกัน ถึงจะทำให้โอกาสของเหรียญคริปโตถึงจะเติบโตแบบจับต้องได้ชัดเจนขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ คนไทยเล่นเหรียญคริปโตมากเป็นอันดับ 2 ในโลกและเล่น NFT เป็นอันดับ 1 ในโลก ซึ่งในฐานะผู้จัดงานประเมินว่าไทยจะเป็นอนาคตของการเป็นศูนย์กลางของเหรียญคริปโตได้ไม่ยาก เราจึงทดลองในการจัดทั้งสองงานคู่ไปด้วยกันเพื่อดูกระแสและผลตอบรับก่อน หากสถานการณ์หลายๆ อย่างดีขึ้นคาดว่าช่วงปลายปีที่จะกลับไปจัดงานที่ศูนย์สิริกิติ์ จะมีแบรนด์ใหญ่ๆ หลายค่ายมาสร้างสีสันให้การจัดงานฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งแน่นอน

ยกตัวอย่างเหรียญที่เข้ามาใช้จ่ายในงานได้เช่น คอม7 ที่มีการเปิดให้ใช้เหรียญเป็นส่วนลดโปรโมชั่นในสินค้าต่างๆ หรือ JFIN ที่มูลค่าเหรียญปกติอยู่ที่ 40 บาท พอมาใช้จ่ายในงานจะเพิ่มมูลค่าให้เป็น 65 บาท เพื่อซื้อสินค้าในกลุ่มเจมาร์ทได้ถูกลง ถือว่าเป็นลูกเล่นทางการตลาดและช่วยให้ราคาเหรียญและราคาตลาดเติบโตไปด้วยกัน เป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการใช้จ่ายที่ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการฝึกฝนทักษะของพนักงานให้รู้จักวิธีการใช้จ่ายผ่านเหรียญให้สะดวกขึ้น หรือของ MVPCOIN เอง ก็สามารถซื้อบัตรของขวัญหรือจองรถเพื่อไปขับเที่ยวก็ได้ เป็นการสร้างความคุ้นชินให้ง่ายขึ้นสำหรับคนเล่นเหรียญ ที่เราเชื่อว่าจะเป็นการผสมผสานระหว่างกลยุทธ์ทางการตลาดกับเทคโนโลยีในอนาคตเลย

หากงานอีเว้นท์มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ก็น่าจะเป็นการกลับมาของสภาพเศรษฐกิจที่สร้างเม็ดเงินสะพัดกลับมาเช่นกัน

 

ที่มา : IndexCreative