Site icon Thumbsup

Facebook ไล่ลบรูป cover photo สางปมลิขสิทธิ์?

ช่วงนี้มีรายงานจากผู้ใช้งาน Facebook หลายคนออกมาบอกว่า cover photo หรือรูปที่ใช้ในหน้า Profiles ของตนถูกลบไปอย่างไร้สาเหตุ เรื่องราวนี้เป็นที่กล่าวถึงโดยกว้างขวางบน Twitter และเครือข่ายสังคมอีกหลายแห่ง เบื้องต้นคาดว่าเป็นเพราะภาพดังกล่าวเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์

Pete Pachel เป็นหนึ่งในผู้ใช้ Facebook ที่ประสบปัญหานี้ ตามรายงานของ Mashable รูปของเขาถูกลบออก ซึ่งเขาคาดว่าเหตุผลน่าจะเป็นเพราะมันเป็นรูปจากละครที่วีเรื่อง Doctor Who เนื่องจากเมื่อทดลองเปลี่ยนรูปภาพเป็นรูปอื่น ปรากฎว่าระบบ Facebook แสดงข้อความขึ้นมา โดยข้อความนั้นแนะนำให้ผู้ใช้เลือกภาพที่มีความหมายกับช่วงชีวิตของตัวเอง และแจ้งว่า Facebook ไม่อนุญาตให้ลงรูปที่เป็นไปในเชิงการค้า หรือละเมิดลิขสิทธิ์

จุดนี้ทำให้ Facebook ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพราะ Facebook ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ทำให้เหตุผลที่ Facebook ลบรูปภาพออกยังคงเป็นปริศนา และข้อสรุปเรื่องปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์นั้น ก็เป็นข้อสัญนิษฐานจากข้อความแจ้งเตือนดังกล่าว ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่า การลบภาพนี้เกิดขึ้นเพราะ Facebook มองว่าเป็นเรื่องการค้า ที่เป็นข้อยกเว้นบน Facebook เช่นกันหรือไม่

Lou Kerner นักวิเคราะห์โซเชียลมีเดียและผู้ก่อตั้ง Social Internet Fund กล่าวว่า Facebook ทำเกินกว่าเหตุ และการปิดกั้นการโต้ตอบระหว่างเจ้าของสินค้ากับลูกค้าจะไม่เป็นผลดีต่อ Facebook เอง นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่จะทำให้ Facebook ทำธุรกิจได้อย่างราบรื่น คือการปล่อยให้ผู้ใช้ได้ทำตามใจชอบ ตราบใดที่มันไม่ได้ผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ ผู้ใช้รายหนึ่งแสดงความเห็นว่า Facebook จะไม่ต้องคอยลบรูปเหล่านี้หากเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้เผยแพร่ cover photo ขณะเดียวกันวิธีนี้ก็จะเปิดทางให้มีการโต้ตอบระหว่างสินค้ากับกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบสินค้านั้นด้วย

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์มองว่า Facebook ควรหาทางออกที่ประนีประนอมมากกว่านี้ เช่นกรณีที่ Disney ยักษ์สตูดิโอการ์ตูนได้ปล่อยภาพให้สาวกได้โหลดไปใช้อย่างเต็มใจ โดยภาพจะมีขนาดที่พอดีกับ Timeline ของ Facebook ซึ่งหากมีโครงการลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ก็จะเป็นเรื่องดีสำหรับ Facebook แทนที่จะปล่อยให้ภาพลักษณ์ตัวเองดูเป็นเผด็จการต่อไป

นี่ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจในการจัดการปัญหาละเอียดอ่อนเช่นนี้ เนื่องจากความเด็ดขาดนั้นเป็นดาบ 2 คม อย่างที่ Facebook กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักใน Twitter ขณะนี้

ที่มา: Mashable