Site icon Thumbsup

JAYMART ครบ 30 ปีเน้นคืนกำไรเพื่อความพึงพอใจของลูกค้า มั่นใจกำลังซื้อมีทิศทางดีหากบริการได้ทั่วถึง

การรักษาตำแหน่งในธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือและสมาร์ทดีไวซ์ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีปีที่ดีก็ย่อมมีปีที่ทรงตัว จากที่เร่ิมต้นในยุคเริ่มต้นมือถือเครื่องแรกจนมาถึงยุคที่มีการใช้สมาร์ทดีไวซ์กันเกือบ 80-90% ของจำนวนประชากรในประเทศ ด้านภาพรวมของราคาสมาร์ทโฟนที่คนนิยม ได้ขยับขึ้นมาจาก 5,000 เป็น 10,000 บาท นั่นหมายถึงสัญญาณของราคาเครื่องมีการปรับเข้าสู่ระดับพรีเมียมมากขึ้น สวนทางกับกำลังซื้อของภาพรวมประเทศกันเลย

ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนในปีนี้ คาดว่าด้านจำนวนเครื่องจะทำได้ 17 ล้านเครื่อง แต่ในแง่ของรายได้ลดลงกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 5% โดยจำนวนเครื่องระดับราคาที่หนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปกับรุ่นแฟลกชิพค่อนข้างขายดี

นราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ผู้อำนวยการบริหารสายงานการตลาด บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) เล่าให้ฟังว่า ปกติช่วงต้นปียอดขายจะน้อยกว่าช่วงปลายปีถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นสัญญาณบอกอะไร เพราะช่วงเดือนมีนาคมก็ฟื้นกลับขึ้นมาดีเช่นเดิม สาเหตุไม่ใช่จากเรื่องการเมืองทั้งหมด ส่วนหนึ่งมาจากการที่แบรนด์ไม่มีรุ่นใหม่เปิดตัวออกมา ซึ่งกลุ่มแฟนยังรอรุ่นใหม่ทำให้สองเดือนแรกของปี ยอดขายทรงตัว

ปรับภาพลักษณ์เพิ่มโอกาส

นอกจากนี้ ทางด้านสาขาต่างๆ ของเจมาร์ทเอง เตรียมที่จะปรับปรุงให้มีภาพลักษณ์ที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม เช่น โครงสร้างร้านที่เปิดกว้างขึ้น สาขาสว่างไสว มีสินค้ากลุ่ม accessories และ Smart เข้ามาเติมเต็มความต้องการของลูกค้า สำหรับการปรับปรุงแต่ละสาขาให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละพื้นที่นั้น จะใช้งบรวมที่ 50 ล้านบาท เฉลี่ยสาขาละ 1 ล้านบาท

“ในปีที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ในการเข้ามาในร้านของลูกค้า ทำให้มีการปรับโครงสร้างร้านในทุกสาขาใหม่ เพิ่มในส่วนของ accessories เข้ามามากขึ้น ปรับให้หน้าร้านเป็น Destination ด้าน Gadget ของลูกค้า เพราะมีสินค้า Smart ที่กำลังเป็นที่ต้องการของคนรุ่นใหม่ และเป็นโอกาสที่เราจะไม่มองข้าม”

ยกตัวอย่างสินค้ากลุ่ม Wearable ที่ภาพรวมมีกระแสความต้องการ แต่เราวางขายเฉพาะสาขาแฟลกชิพหรือสาขาในเมือง เพราะมีความต้องการของตลาดค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม และการไม่สต็อกสินค้าไว้ทุกแห่งจะเพิ่มโอกาสทางการขายได้ดีกว่าการมีวางขายทุกสาขา

 

กลยุทธ์รับประกัน

การปรับเน้นเรื่องงานบริการเป็นหลักนั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ได้จากการสำรวจข้อมูลลูกค้ามา พบว่า ยังมีงานด้านบริการอีกหลายแง่มุมที่จะรักษาฐานลูกค้าได้ โดยเฉพาะเรื่องของความพึงพอใจในการเลือกซื้อหรือเข้ามาใช้บริการที่สาขา ประกอบกับปีนี้ครบรอบ 30 ปีของแบรนด์เจมาร์ท ก็เลยคิดกลยุทธ์ตอบแทนความพึงพอใจลูกค้าผ่าน 5 กลยุทธ์ ดังนี้

  1. รับประกันความพึงพอใจ เปลี่ยนเครื่องได้ใน 30 วัน สำหรับเครื่องที่มีมูลค่า 5,000 บาทขึ้นไป โดยจะมีค่าใช้จ่าย 10% ของมูลค่าเครื่อง
  2. ฟรีประกันอุบัติเหตุกับเครื่อง คุ้มครองค่าซ่อมสูงสุด 5,000 บาท พร้อมประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ชดเชยค่ารักษาพยาบาล 2,000 บาทต่อครั้ง
  3. รับสิทธิ์ลุ้นทองคำหนักรวม 30 บาท
  4. ได้รับคะแนนสะสมแบบคูณ 30 นำมาเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าครั้งต่อไป
  5. ลูกค้าที่ซื้อครบ 2 หมื่นบาทได้รับเหรียญ JFIN 30 เหรียญฟรี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์เสริมได้

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีแคมเปญใหญ่ทุกไตรมาสเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ผ่านงบ 15 ล้านบาท/ไตรมาส ทั้งแบบ Above the Line และ Below the Lineโดยตั้งเป้าหลังการจัดแคมเปญรายได้เพิ่มขึ้น 25% จากปีที่แล้ว ที่ทำได้ 2,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมในกลุ่มธุรกิจโมบายของปีนี้อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ส่วนปีที่แล้วทำได้ 9,500 ล้านบาท

ทีมขายตรงเจาะกลุ่มต่างจังหวัด

นอกจากนี้ ผู้อำนวยการฝ่ายสายงานตลาด เล่าว่า ได้มีการฟอร์มทีมขายตรงขึ้นมาผ่าน JMT เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดที่เจมาร์ทยังอ่อน แต่ส่วนงานนี้สามารถเข้าถึงลูกค้าและมีรายได้ที่ดี โดยทำรายได้แตะ 10 ล้านบาทต่อเดือน เชื่อว่าจะยังมีโอกาสโตได้อีก ซึ่งได้เตรียมขยายทีมเพิ่มจากขณะนี้ที่มีอยู่ 50 คน เพื่อจะเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น