Site icon Thumbsup

JD.com เตรียมดึงเทคโนโลยีในมือ เสริมความพร้อมให้ JDcentral ก่อนเปิดตัวชัดเจน 27 กันยายนนี้

ด้วยตลาดค้าปลีกของจีนที่มีทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์มีขนาดที่ใหญ่มากและมี Potential มากกว่าตลาดค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวแบบนี้นั้น เพราะข้อมูลของ National Bureau of Statistics of China ได้บอกให้ทราบถึงปริมาณการซื้อขายหรือ transaction volume ของปี 2017 ผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซทุกรูปแบบในจีนทั้ง B2B, B2C, C2C และบริการอื่นๆ มีอยู่ราว 4.5ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ JD.com ก็กวาดส่วนแบ่งในกลุ่มนี้ไปแล้วถึง 40% 

เฉินข่าย หลิง รองประธานฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและการลงทุน ผู้อำนวยการ เจดีดอทคอม อินเทอร์เนชั่นแนล JD.com

ข้อมูลบริษัท

จากกราฟด้านล่างแสดงให้เห็นถึงอันดับรายได้และส่วนแบ่งตลาดของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มค้าปลีกในกลุ่ม B2C ทั้ง 5 อันดับ ดังนี้

ด้านรายได้ปีที่แล้วของ JD.com อยู่ที่ 56,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการเติบโตมากกว่า 30% ถือว่าทำได้ดีกว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของสหรัฐอเมริกา แม้ว่าบริษัทตั้งมามากกว่า 15 แล้ว ยอมรับว่าเทรนด์การใช้งานออนไลน์พุ่งสูงอย่างน่าแปลกใจ ทำให้รายได้ของบริษัทในช่วง 2 ปีหลังเติบโตมากกว่า 150% และมี Active User ที่เข้ามาใช้งานทุกเดือนเกิน 300 ล้านคนแล้ว ด้านร้านค้าในระบบมีกว่า 1.7 แสนร้านค้า พนักงานก็มีมากกว่า 1.7 แสนคน

ด้านระบบโลจิสติกส์ของบริษัทก็ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ทำให้จัดส่งสินค้าได้ในวันเดียวกัน หลังกดสั่งซื้อผ่านระบบ ด้าน Warehouse ก็มีมากกว่า 500 แห่ง ซึ่งมีอยู่ 1 แห่งเป็นแวร์เฮ้าส์ระบบอัจฉริยะ ที่ใช้งานหุ่นยนต์ทั้งหมด ซึ่งในอนาคตจะค่อยๆ นำหุ่นยนต์เข้าไปใช้งานในแวร์เฮ้าส์มากขึ้น และ JD.com ก็ขยายธุรกิจไปหลายประเทศ ซึ่งไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ประชาชนชาวจีนให้ความสนใจสินค้าที่นำเข้ามาขายในระบบ

เทรนด์ค้าปลีกและแนวโน้ม

ด้วยเทรนด์ของอินเทอร์เน็ตที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้ลักษณะของการใช้จ่ายจะเปลี่ยนจากทุกอย่างอยู่ที่ศูนย์กลางเป็นการกระจายอำนาจ นั่นคือ ในอนาคตค้าปลีกจะไม่มีพรมแดน การค้าปลีกจะมีหลายรูปแบบมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น conversation commerce, content commerce , vr/ar commerce, Hybrid commerce และ IoT commerce เป็นต้น

ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มหรืออีคอมเมิร์ซต่างก็มีการลงทุนเทคโนโลยีเพื่อจัดเก็บข้อมูลหรือทราฟิกที่เข้ามาสั่งซื้อ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้น และเจาะกลุ่มลูกค้าได้ดีขึ้น จึงเกิดการลงทุนเครื่องมือใหม่ๆ มากขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สะดวกในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและเข้าถึงลูกค้าได้เหมาะสมขึ้น

แนวทางเทคโนโลยี

แม้ว่าในอดีตคนจะเชื่อแบรนด์ แต่ในอนาคตคนจะฟัง Feedback ของลูกค้ามากขึ้นและมีความอดทนต่อการรอสินค้าน้อยลง ทำให้ต้องนำเสนอและจัดส่งสินค้าได้เร็วกว่าเดิม ทำให้ทุกแบรนด์ จะใช้ข้อมูลจาก Big Data มาทำธุรกิจมากขึ้นและดิจิทัลไลฟ์จะเข้ามาช่วยเรื่องคลังสินค้า และเส้นทางการจัดส่งเรื่องโลจิสติกส์ก็อาจจะใช้โดรนเข้ามาช่วยในการส่งสินค้าในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกล หรือใช้เป็นหุ่นยนต์ส่งสินค้าได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องใช้คนในการจัดส่งตามพื้นที่ต่างๆ

แม้ JD.com จะไม่สามารถบอกตัวเลขการลงทุนต่างๆ ในประเทศไทยได้ เพราะร่วมมือกับทาง Central ทำให้การลงทุนต่างๆ ต้องเป็นเม็ดเงินจาก JDcentral ซึ่งมีการสร้าง Warehouse ขึ้นมาร่วมกันและเปิดใช้งานแล้ว แต่บริษัทวางแผนจะนำเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริม เรื่อง Infrastructure Logistic Payment และ Cloud

ทางด้านสินค้าที่ JD.com หลังการร่วมมือกับ Central จะนำเข้ามาขายเพิ่มเติมคือ กลุ่มสมาร์ทโฟน ที่คุณภาพดีและราคาไม่สูงนัก เพราะพฤติกรรมของคนไทยระดับกลางมีความต้องการสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น

ทางด้านเทคโนโลยีที่จะเอามาใช้ในการพัฒนาระบบ เพื่อช่วยให้สินค้าไทยสามารถขายได้ในแพลฟตอร์มของ JD.com ได้สะดวกขึ้น ได้แก่

สินค้าไทยยอดนิยม

ทางด้านสินค้าไทยที่ขายได้ดีบนแพลตฟอร์มของ JD.com ก็ไม่ต่างจากช่องทางอื่นๆ นั่นคือ ข้าว สินค้าอบแห้ง หมอนและเครื่องสำอาง เพราะสินค้าเหล่านี้คนจีนชอบ จากข้อมูลที่บริษัทสำรวจพบว่า สินค้าไทยจะเป็นท่ีนิยมในกลุ่มหัวเมืองอย่าง ปักกิ่ง หวางโจว และ 60% เป็นผู้หญิง ที่มีการศึกษาที่ดี มีการอ่านรีวิวและคำแนะนำก่อนซื้อ นิยมสินค้าประเภท คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หมอนยางพารา ผลไม้ เป็นต้น

ช่วงพฤษภาคม-กันยายน ที่ผ่านมา มีการสั่งซื้อสินค้าอย่างทุเรียนสด ผ่านแพลตฟอร์มไปแล้วกว่า 6 ล้านลูก กุ้งแช่แข็งขายไปแล้วกว่า 10 ล้านตัว และบริษัทจะพยายามผลักดันสินค้าเหล่านี้ให้ขายผ่านระบบให้ได้มากขึ้น ซึ่งอาจจะมองในกลุ่มผลไม้สด แต่ทั้งนี้ต้องรอขั้นตอนการเจรจากับทางศุลกากรในการส่งออกด้วย

ส่วนความคืบหน้าของทาง JDcentral จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเดือนนี้ ซึ่งทาง Thumbsup จะเก็บข้อมูลมาฝากกันอีกรอบค่ะ