Site icon Thumbsup

King Power ปรับใหญ่ ดึง “ฟ่าน ปิงปิง” มาเป็น Global Brand Ambassador ก้าวสู่การเป็นร้านค้าปลอดภาษีอันดับ 5 ของโลก

ภาพจาก Art4D Magezine

ในยุคที่การแข่งขันของภาคธุรกิจเข้มข้นขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ การลุกขึ้นมาปรับโฉมครั้งสำคัญของ “King Power รางน้ำ” จาก ดิวตี้ฟรี  สู่การเป็นศูนย์กลางด้านไลฟ์สไตล์ที่สามารถสร้างประสบการณ์แบบ “Explore Endlessly” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายุคใหม่จึงเป็นสิ่งที่นักการตลาดหลายคนไม่พลาดที่จะจับตา

โดยสิ่งที่เราพบได้จาก King Power โฉมใหม่นั้น มีทั้งการผนวกกลยุทธ์ทางการตลาดแบบ 360 องศา เพื่อให้แบรนด์สามารถสื่อสารตัวตนออกไปได้อย่างตรงประเด็น รวมถึงการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ และยังมีการดึงข้อมูลอินไซต์เพื่อให้สามารถออกแบบไลฟ์สไตล์ได้ตามความต้องการของนักท่องเที่ยวด้วย ไม่ว่าจะเป็น

การดึง “ฟ่าน ปิงปิง” ดาราชื่อดังระดับโลกเป็น Global Brand Ambassador

ไม่เพียงแต่เป็นซูเปอร์สตาร์ของเอเชีย แต่ ฟ่าน ปิงปิง ยังเป็นดาราที่ได้รับการจัดอันดับว่ามีรายได้สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก (ปี 2015 ติดอันดับ 4 ของโลก) การเลือก ฟ่าน ปิงปิง มาปรากฏตัวในฐานะ Global Brand Ambassador ของ King Power จึงเป็นการเสริมคำประกาศของ King Power ว่าพร้อมแล้วสู่การก้าวขึ้นเป็นร้านค้าปลอดภาษีอันดับ 5 ของโลกให้ได้รับการรับรู้ที่กว้างขวางมากขึ้น

นอกจากนั้น “ฟ่าน ปิงปิง” ยังสื่อถึงผู้หญิงยุคใหม่ที่มีครบทุกมิติ หลงไหลในการเดินทาง และพร้อมค้นหาความสุขอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ King Power ได้เป็นอย่างดี

คอนเซ็ปต์ของ King Power รางน้ำ โฉมใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล

ภาพจาก Art4D Magezine

ทุกวันนี้ สิ่งที่ลูกค้ายุคดิจิทัลต้องการคือ Experience และ Experience นั้น ๆ ต้องสามารถสร้างความตื่นเต้น หรือสร้างความรู้สึกใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้ด้วย ภายใน King Power รางน้ำ จึงมีการสอดแทรกประสบการณ์ด้านดิจิทัลเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Digital Signage ต่าง ๆ หรือการนำเทคโนโลยี Augmented Reality เข้ามาผสมผสาน ทำให้การนำเสนอสินค้าต่าง ๆ ภายในห้างมีความล้ำสมัยขึ้น

การแทรกความเป็น Local

ภาพจาก Art4D Magezine

นอกจากการนำเทคโนโลยีไฮเทคต่าง ๆ มาสร้างสีสันแล้ว ความเป็น Local ก็เป็นสิ่งที่เราพบได้จาก King Power รางน้ำ เช่นกัน โดยจะมีการจัดสินค้าโอทอปของไทยเข้ามาในพื้นที่ด้วย ซึ่งในจุดนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลดีต่อผลิตภัณฑ์ของไทย แต่ยังทำให้นักการตลาดเองมีพื้นที่ในการสร้างสรรค์แคมเปญเพื่อเจาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย

การจัดแบ่งพื้นที่ใหม่สำหรับการช้อปปิ้ง

ภาพจาก Art4D Magezine

การจัดพื้นที่เป็นอีกบททดสอบหนึ่งของการปรับโฉมศูนย์การค้า ซึ่งสำหรับ King Power ได้มีการปรับพื้นที่การช้อปปิ้งใหม่แบ่งออกเป็น 3 โซนอย่างชัดเจน ได้แก่ การจัดให้ชั้น 1 เป็นโซนสินค้าระดับเวิลด์คลาส หรือแบรนด์เนมระดับโลก ซึ่งในจุดนี้สามารถใช้พรีเซนต์ความพรีเมียมของ King Power ได้ในคราวเดียวกัน ส่วนชั้น 2 เป็นโซนนาฬิกา เครื่องสำอาง สกินแคร์ น้ำหอม และชั้น 3 เป็นโซน Dining และสินค้าภูมิปัญญาไทย ไว้รองรับนักท่องเที่ยว

 

ภาพจาก Art4D Magezine

ขณะที่เมื่อมองออกไป ก็จะพบว่ามีการออกแบบน้ำพุรูปทรง Metrix ความยาว 44 เมตร และตัวน้ำพุสูงถึง 6 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะกับการถ่ายภาพสวย ๆ ของลูกค้าได้เช่นกัน (นอกจากนั้นในแต่ละวันจะมีการแสดงระบำสายน้ำประกอบเพลง พร้อมด้วยจอ LED ให้ชมทุกวันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้วย)

เข้าใจอินไซต์ด้านอาหาร

ภาพจาก Art4D Magezine

อาหารไทยเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอันดับต้น ๆ ว่าต้องการเข้ามาสัมผัส ซึ่ง King Power เองจับกระแสนี้ได้ไม่พลาด และมีการดึงร้านอาหารสตรีทฟู้ดชื่อดัง 17 ร้านที่เป็นทั้งเป้าหมายจากคนไทยด้วยกันเองและจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมารวมเอาไว้ให้ผู้เข้าใช้บริการได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นข้าวขาหมูจุฬา ทิพย์สมัยผัดไทยประตูผี กุ้งเผาอยุธยา ร้านละมัยหอยทอด ไทยสกาล่า รองเมืองเกาเหลา ห่านท่าดินแดง ฯลฯ ภายใต้ชื่อ Thai Taste Hub

โดยพื้นที่ทั้งหมดที่ได้รับการปรับปรุงนั้นเท่ากับ 22,000 ตารางเมตร และใช้งบประมาณในการปรับโฉมครั้งนี้อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็น 2,500 ล้านบาทที่ผนวกมากับการตลาดทุกมิติที่สามารถตอบโจทย์การเป็นศูนย์กลางด้านไลฟ์สไตล์ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว

บทความนี้เป็น Advertorial