Site icon Thumbsup

คุยกับ Lamoon ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับเด็กที่ต้องสู้กับแบรนด์ใหญ่เพื่อก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ

การซื้อสินค้าในช่องทางออนไลน์ของคุณแม่ยุคใหม่นั้น เรียกได้ว่าเป็นตัวเลขที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ ETDA ได้แถลงตัวเลขคาดการณ์มูลค่าอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยปี 2561 คาดว่าจะแตะ 3,000 ล้าน เพราะภาพรวมปี 2560 ก็แตะ 2,812 ล้านบาทแล้ว โดยสินค้ากลุ่ม C2C และ B2C ยังคงเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตได้ดี

โดยทาง Thumbsup ได้พูดคุยกับทาง คุณหญิง-เนตรนพิศ รุ่งธนเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ละมุนเบบี้ จำกัด เกี่ยวกับทิศทางและโอกาสของสินค้าแม่และเด็กบนช่องทางออนไลน์ ที่เตรียมขยายธุรกิจต่อยอด จากแบรนด์เล็กๆ ในช่องทางออนไลน์สู่ตลาดต่างประเทศอย่างเต็มตัว

โอกาสบนตลาดออนไลน์

“ตลาดออนไลน์กับคุณแม่ถือว่าเป็นของคู่กัน ซึ่งเชื่อว่าใน 3-5 ปีช่องทางออนไลน์ยังคงมีการตัวเลขเติบโตอีก เพราะอีคอมเมิร์ซในไทยกับต่างประเทศเทียบกันยังน้อยอยู่ รวมทั้งช่องทางออนไลน์ถือว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณแม่ได้ดีขึ้น ทำให้ตัวเลขการเติบโตของละมุนเบบี้มีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องด้วย” เนตรนพิศ กล่าว

ด้วยความเป็นสินค้าออร์แกนิคเกี่ยวกับเด็กเมื่อ 7-8 ปีที่แล้วนั้น การทำตลาดถือว่าเป็นเรื่องยาก เพราะโซเชียลมีเดียยังไม่บูมนัก ทำให้ช่วงแรกของการเริ่มต้น “ละมุนเบบี้” ยังต้องเป็นการออกงานแฟร์และวางขายตามโมเดิร์นเทรด

“การมีโซเชียลมีเดียถือว่าช่วยให้เราเป็นที่รู้จักได้เร็วขึ้น และการตัดสินใจซื้อของคุณแม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ซึ่งเราได้ Educate ตลาดมาพอสมควรช่วยให้วันนี้เราเป็นที่รู้จักและเชื่อว่าเป็นเบอร์หนึ่งในกลุ่มสินค้าออร์แกนิคสำหรับเด็กแล้ว”

จากคุณแม่ Full Time สู่บทบาทใหม่

ทั้งนี้ คุณเนตรนพิศ ยังได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจให้ฟังอีกด้วยว่า

ภาพสินค้าจากงานอีเว้นท์

“ทีแรกไม่ได้คิดจะทำธุรกิจ ด้วยความเป็นคุณแม่ Full Time และเจอปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของลูก เราจึงเรียนรู้และพยายามพัฒนาสินค้าของแม่ที่ให้ลูก เราดูส่วนผสมทุกตัวและได้ทราบว่า Fragrant เป็นตัวก่อให้เกิดการแพ้สำหรับเด็ก และสารกันเสียมากมายที่ผสมในผลิตภัณฑ์เด็ก ซึ่งเมืองนอกไม่ได้ใช้ส่วนประกอบเหล่านี้ในส่วนผสมเด็กแล้ว ซึ่งเมื่อ 7 ปีที่แล้วสารผสมหลายอย่างอยู่ในน้ำยาล้างจาน ตอนนั้นถือว่าช็อกมาก ที่มีการเอาส่วนผสมเหล่านี้ในสินค้ากลุ่มเด็ก”

หลังจากนั้น ก็เริ่มคิดว่าสินค้าอะไรที่จะข้องเกี่ยวกับสุขภาพของลูกบ้าง โดยเลยจากสินค้าที่ประกอบด้วยส่วนผสมที่ทำให้ลูกแพ้ จากนั้นก็เลยมีการขยายประเภทสินค้าออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น 

โดยสินค้าทั้งหมดที่ออกวางขายมาจากปัญหาของลูก และให้ลูกได้ทดลองใช้ก่อนทุกอย่าง เมื่อทดลองใช้เองกับลูกแล้วผ่านก็โพสต์บน Facebook ส่วนตัว แล้วก็มีเพื่อนๆ ที่เป็นคุณแม่มาขอแบ่งปันไปใช้งานก็ส่งต่อๆ กันไป จนเป็นที่รู้จัก และเริ่มขายอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็เริ่มมีคนดังที่ได้ทดลองใช้งานก็แท็กมาในช่องทางออนไลน์จนมีคนรู้จักแบรนด์ของเรามากขึ้น

คนดังในโซเชียลมีเดีย

เหล่าคุณแม่ที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์

ต้องขอบคุณดาราเซเลบที่มีการใช้งานสินค้าจริง ทำให้คนที่ติดตามได้เห็นสินค้าของละมุนเบบี้มากขึ้น โดยที่ยังไม่ได้ทำการตลาดออนไลน์แบบจริงจังเลย

“เริ่มจากคุณนิหน่า ตามมาด้วยคุณเป้ย กระแต พอลล่า นานา ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อที่มีการแนะนำกัน โดยเราไม่ได้ทำมาร์เก็ตติ้งกับเขา เพราะเราเป็นแบรนด์เล็กคงไม่มีงบในการจ้างอินฟูลเอนเซอร์ เมื่อลูกค้าลงรูปไม่ใช่โพสต์ขายอย่างตั้งใจ แต่เป็นการ Snap ติดมา จนกลายเป็นที่รู้จัก มีหลาย Element ที่ประกอบกัน เช่น นอกจากคนดังช่วยรีวิวแล้วก็มีคุณแม่ที่เคยใช้งานจริงเข้าไปรีวิวในพันทิป ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น”

ตลาดสินค้าสำหรับเด็กในอดีต ตอนนั้นมี 2 กลุ่มคือ  Premium กับ Mass  แต่ยังไม่มีตรงกลางทำให้เป็น Painpoint ของตลาด และการที่เราเข้ามาในสินค้าคุณภาพพรีเมียมแต่ราคาจับต้องได้ และประหยัดกว่าการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จนกลายเป็นโอกาสทองทันที

หากพูดถึงเรื่องผลกำไร บอกได้เลยว่า ตลาดแม่และเด็กยังเล็ก แต่มีการเติบโต ในแง่ผลกำไรไม่ได้คุ้มขนาดนั้น แต่ความรู้สึกมากกว่าคำบรรยายที่เราได้ช่วยคนที่มีอาการแพ้เหมือนกัน ถ้าวันนั้นเราไม่ตัดสินใจทำ เด็กๆ ก็ยังคงต้องใช้สินค้าที่มีสารเคมีและใช้ยาสเตรียรอยด์รักษาต่อไป แม้ตอนนั้นต้นทุนจะสูงมากและคงไม่มีใครอยากทำแต่เมื่อเราตัดสินใจทำแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่าที่ตัดสินใจ

สินค้าของเราไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มเด็กเท่านั้นที่ใช้งานได้ แต่ผู้ใหญ่ที่มีอาการแพ้ คันเป็นผื่นแดง ทั้งหัว ตัวหรือหน้าผาก ก็สามารถใช้งานได้ทั้งสิ้น และการรักษาเด็กที่แพ้ต้องใช้สเตียรอยด์มาโดยตลอด ซึ่งไม่คุ้มเรื่องเงินรายได้ แต่คุ้มที่หัวใจ มีหลายแบรนด์ตามมาเรื่องสินค้าออร์แกนิคและยังใช้สินค้าของเรารักษาความเป็นออร์แกนิค

เตรียมขยายไปต่างประเทศ

ในปีนี้บริษัทวางแผนจะขยายสินค้าไปยังต่างประเทศ หลังจากมีคุณแม่ที่มาเที่ยวไทยและซื้อไปใช้งานจนติดตลาดและสั่งซื้อออนไลน์ไปใช้งาน ทำให้มีตัวแทนจำหน่ายสนใจและเข้ามาพูดคุยทำให้บริษัทเตรียมวางสินค้าในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ลาวและกัมพูชา เพราะเป็นประเทศที่คุณแม่สนใจในสินค้าออร์แกนิคและมีกำลังซื้อที่ดี

แม้ว่าในไทย บริษัทจะมีการเติบโต 30% ในทุกปีตั้งแต่ปีแรกจนถึงปัจจุบัน สวนทางกับภาพรวมตลาดที่มีการเติบโตเพียง 3-5% เห็นได้จากการที่แบรนด์ใหญ่ไม่มีการออกสินค้าใหม่ และเด็กเกิดใหม่ก็น้อยลง ทั้งที่คุณแม่ยุคใหม่มีกำลังจ่ายต่อเดือน 15,000 บาท ในการซื้อสินค้าสำหรับลูกน้อย

ทางด้านการทำตลาดในต่างประเทศ ละมุนเบบี้ ให้อิสระในการคิดแคมเปญแต่ต้องไม่กระทบกับธีมของแบรนด์ เพื่อรักษาความเป็นละมุนเบบี้ให้เป็นที่รู้จักไม่ว่าจะซื้อสินค้าจากที่ใดก็ตาม

หากสามารถเดินหน้าตลาดต่างประเทศได้ ละมุนเบบี้ จะสามารถมีโอกาสขยายตลาดและสร้างรายได้ใหม่ๆ ให้แก่บริษัทได้อย่างมั่นคงมากขึ้น