Site icon Thumbsup

LinkedIn เพิ่มระบบ mention ชื่อสไตล์ Facebook ปูทางผู้ใช้คุยกันมากขึ้น

LinkedinBig

เร่งเครื่องสุดฤทธิ์สำหรับ LinkedIn เครือข่ายสังคมสำหรับคนทำงานที่พยายามปรับปรุงให้สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ให้มากที่สุด ปรากฏว่า LinkedIn หันมาใช้ระบบระบุชื่อที่ถูกกล่าวถึงในความเห็นต่างๆสไตล์เดียวกับที่ Facebook และ Twitter ใช้ คาดว่าระบบ Mention นี้จะทำให้ปริมาณการสื่อสารและบทสนทนาบน LinkedIn เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

LinkedIn นั้นต้องการปูทางให้ผู้ใช้ LinkedIn มีปฏิสัมพันธ์และสามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ที่ผ่านมา LinkedIn ถูกใช้เป็นแหล่งค้นหาบุคลากร หรือการสร้างการเชื่อมต่อจากการโพสต์ประวัติการทำงานเท่านั้น แต่รูปแบบบริการบทสนทนาบน LinkedIn ยังอยู่ในระดับที่ไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับเครือข่ายสังคมชื่อดังแห่งยุคนี้ ทั้ง Facebook หรือ Twitter

เพื่อแก้ปัญหานี้ LinkedIn จึงประกาศเปิดตัวคุณสมบัติใหม่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา คุณสมบัติดังกล่าวเป็นความสามารถในการระบุชื่อหรือ mention สไตล์เดียวกับที่ Facebook และ Twitter มีใช้งานอยู่แล้ว นั่นคือการติดชื่อผู้ใช้ลงในบทสนทนาเพื่อให้ผู้ใช้รายนั้นรับรู้เนื้อหาเกี่ยวกับบทสนทนานั้น แต่จะมีจุดต่างคือผู้ใช้จะสามารถระบุชื่อผู้ใช้ LinkedIn รายอื่นในบทสนทนาได้ก็ต่อเมื่อเคยมีการติดต่อด้วยแล้ว หรือผู้ใช้ LinkedIn รายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ตั้งขึ้นบนโฮมเพจของ LinkedIn

คุณสมบัตินี้ทำให้ LinkedIn สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น เพราะกลุ่มชุมชนบน LinkedIn จะสามารถผูกติดหรือ engage กับผู้ใช้และบริษัทได้ง่ายขึ้น จุดนี้ LinkedIn ยืนยันว่าผู้ใช้ภาษาอังกฤษบน LinkedIn จะสามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้แล้ว

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ LinkedIn นำรูปแบบบริการของ Facebook และ Twitter มาเพิ่ม engagement หรือการทำให้ผู้ใช้อยู่กับ LinkedIn ให้นานที่สุด ก่อนหน้านี้ LinkedIn ติดปุ่ม follow เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์บนเครือข่าย LinkedIn ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ถอดแบบมาจากการ Follow บน Twitter ยังมีการปรับแต่งหน้าโฮมเพจและโปรไฟล์เพจที่มองแล้วมีลักษณะคล้าย Facebook

สิ่งที่น่าสนใจจากข่าวนี้คือแนวโน้มว่าระบบ Mention นี้กำลังได้รับได้รับความนิยมในกลุ่มผู้สร้างแอปพลิเคชัน เนื่องจากไม่เพียง LinkedIn ผู้ให้บริการแอพพลิเคชันนิตยสารส่วนตัวอย่าง Flipboard ก็ติดตั้งระบบ Mention ในแอพของตัวเองแล้ว ซึ่งไม่แน่ อาจจะมีอีกหลายแอพพลิเคชันที่ตัดสินใจเพิ่มความสามารถนี้เพื่อกระตุ้น engagement แบบก้าวกระโดด

ที่มา: Mashable