Mark Zuckerberg หัวเรือใหญ่ CEO ของ Facebook จรดปากกาเขียนบทความในพื้นที่ op-ed บนหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่ออธิบายรูปแบบธุรกิจของบริษัท ซึ่งเมื่อใครได้อ่านก็มักสรุปได้ว่า CEO ไฟแรงต้องการแก้ไขความเข้าใจผิดที่ผู้คนอาจมีต่อ Facebook โดยเฉพาะเรื่องการทำรายได้จากการขายข้อมูลผู้ใช้

Zuckerberg ไม่เสียเวลาอารัมภบท แต่เริ่มต้นด้วยการพูดตรงไปตรงมาเกี่ยวกับวิธีที่ Facebook สร้างรายได้ โดยบอกว่ารูปแบบธุรกิจของบริษัทแบ่งเป็น 2 ระบบ คือบริการเครือข่ายสังคมที่ใช้งานฟรี และบริการด้านโฆษณา

“ที่นี่ ทุกคนจะได้รับบริการ [เครือข่ายสังคมออนไลน์] ของเราฟรี – ขณะเดียวกันเราก็แยกแผนกมาทำงานร่วมกับนักโฆษณา เพื่อแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับทุกคน” ตามเนื้อความที่ Zuckerberg เขียน “โมเดลธุรกิจนี้สามารถทำให้ผู้ไม่เข้าใจรู้สึกหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจได้”

ไม่ได้ขายข้อมูล แค่จัดกลุ่มให้ดี

แม้จะยอมรับแบบนี้ แต่ Zuckerberg พยายามอธิบายว่า Facebook ไม่ได้ขายข้อมูลของผู้ใช้ และไม่จำเป็นต้องทำ เพราะสิ่งที่ Facebook ทำคือการรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ให้เพียงพอเพื่อจัดประเภทเป็นกลุ่มที่แตกต่างกัน จากนั้นจึงเรียกเก็บเงินนักโฆษณา ที่ต้องการวางโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายไว้ให้ปรากฏสู่สายตาคนกลุ่มนี้ จุดนี้ทำให้ Facebook ไม่เคยคิดจะขายข้อมูลผู้ใช้ เพราะการขายข้อมูลอาจเป็นอันตรายต่อธุรกิจของ Facebook เอง

 

“จริงๆแล้ว การขายข้อมูลของผู้ใช้ให้กับนักโฆษณา จะเป็นการขัดแย้งต่อธุรกิจของเรา เพราะการทำเช่นนี้จะลดคุณค่าของบริการที่ Facebook เสนอให้กับนักโฆษณา ประเด็นนี้ทำให้ Facebook มี “แรงจูงใจแข็งแกร่ง” ในการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ ไม่ให้บุคคลอื่นเข้าถึงได้”

 

เหตุผลนี้ถือว่าฟังขึ้น ในวันที่ Facebook มีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ขนาดมหึมาเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก โดย Zuckerberg ย้ำอีกว่าการปกป้องข้อมูลผู้ใช้ ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายเท่านั้น แต่ข้อมูลของผู้ใช้ทุกคนยังจำเป็นสำหรับ “ความปลอดภัยและการให้บริการของ Facebook ทั้งหมด” เช่นเดียวกับการตรวจจับการฉ้อโกงหรือบัญชีปลอม ซึ่ง Facebook เปิดกว้างให้ผู้ใช้ทุกคนควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ ว่าอนุญาตให้ Facebook ใช้ข้อมูลนี้เพื่อโฆษณาหรือไม่

“เพียงแต่เราไม่ยอมให้ใครมาควบคุมวิธีที่เราใช้ข้อมูลเพื่อความปลอดภัยหรือการดำเนินการในบริการของเรา” เจ้าพ่อ Facebook เขียน

นอกจากนี้ ผู้ก่อตั้ง Facebook ยังชี้ให้เห็นว่า Facebook ไม่ได้ละเลยกับเนื้อหา ที่เป็นอันตรายหรือแตกแยกแม้ว่าเนื้อหาประเภทนี้จะมี engagement หรือการมีส่วนร่วมสูงมาก จุดนี้ Zuckerberg เชื่อว่าเนื้อหาแง่ลบจะส่งผลเสียในระยะยาว เพราะผู้คนจะใช้ Facebook น้อยลงหากพวกเขาถูกแวดล้อมด้วยเนื้อหาเชิงลบในฟีดข่าวของตัวเอง

ยังไม่ถูกใจรัฐสภา

แม้จะมีแนวคิดที่ชัดเจนเช่นนี้ แต่ Facebook ก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรื่องอื้อฉาวกรณี Cambridge Analytica ที่มีการตีแผ่ว่า Facebook อนุญาตให้บริษัทที่ปรึกษาทางการเมืองดูดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้หลายล้านคนไปใช้งานเพื่อทำแคมเปญหาเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ ประเด็นนี้มีตีพิมพ์ในบทความ New York Times ว่า Zuckerberg และ Sheryl Sandberg ผู้มีตำแหน่งเป็น COO ของ Facebook ยังปล่อยให้เวลาผ่านไป กว่าจะยอมรับความจริงที่ว่าหน่วยงานรัสเซียมีการใช้ Facebook เป็นเครื่องมือบิดเบือนข้อมูลเพื่อโจมตีและบ่อนทำลายการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงปี 2559

มีการตั้งข้อสังเกตว่าขณะนี้ วุฒิสภาหลายคนในสภาคองเกรสกำลังหาทางตั้งกฎหมายเพื่อควบคุมวิธีการที่แพลตฟอร์มเทคโนโลยีจะสามารถเก็บเกี่ยวและใช้งานข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจุดนี้ Zuckerberg แสดงท่าทีเปิดกว้าง และเห็นด้วยว่ากฎระเบียบที่ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบจะเป็นผลดีกับทุกคน

ที่มา: : Fast Company