Site icon Thumbsup

โอกาสใหม่ของ “คิดคิด” กับการรีเฟรชแบรนด์ที่สร้างโอกาสให้ธุรกิจกับแนวคิดของคนรุ่นใหม่

หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2527 หรือเมื่อ 35 ปีที่แล้ว คนยุค 90 ย่อมต้องรู้จักหมากฝรั่งเป่าลูกโป่งได้ เพราะ ”คิดคิด” ถือว่าเป็นแบรนด์หมากฝรั่งยอดนิยมที่มีลุคของความคูล และวัยรุ่น สำหรับการปรับตัวครั้งใหม่นี้เพื่อต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ สำหรับคนในเจนเนอเรชั่นที่ 3 กับการต่อยอดที่น่าสนใจในครั้งนี้

ออนไลน์ช่วยจุดกระแสแบรนด์

คุณริศร์สุ แต้มคงคา กรรมการผู้จัดการบริษัท โรงงานลูกกวาดเม่งเซ้ง จำกัด เล่าว่า หลังเริ่มต้นจุดกระแสบนโลกออนไลน์ ทำให้ได้รู้ว่า แบรนด์ของเรายังคงแข็งแรงมากในกลุ่ม Gen X และ Gen Y ดังนั้น การสร้างโอกาสใหม่ให้กับแบรนด์ “คิดคิด” ที่ทุกคนรู้จัก น่าจะช่วยให้โอกาสของเรายังไปต่อได้

นอกจากนี้ ทีมการตลาดของหมากฝรั่งยังเล่าเสริมว่า ทีมออนไลน์เริ่มต้นจุดกระแสเรื่องคิดคิด ครบรอบ 35 ปี จากนั้นมีการขายหมากฝรั่งคิดคิดแบบกระป๋องใหญ่ให้แก่ลูกค้ารายย่อย ซึ่งปกติจะขายให้แก่ร้านค้าปลีกรายย่อยเท่านั้น โดยวางขายแค่ 200 กระปุกและขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่าแบรนด์ดิ้งของ “หมากฝรั่งคิดคิด” ยังคงดีอยู่ จึงต่อยอดที่จะทำโปรเจคมากมาย อีกหลายอย่าง

“เราคงยังบอกไม่ได้ว่าจะทำโปรดักส์ประเภทใดออกมา เพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วง Brainstrom ซึ่งหลังจากจบขั้นตอนภายในองค์กร จะเริ่มทำการสำรวจตลาดอย่างจริงจังและปล่อยสินค้าออกวางขายในปีหน้า โดยตอนนี้เรามองสินค้าในกลุ่ม FMCG แต่ยังคัดเลือกกันอยู่ 4-5 ประเภท จึงต้องใช้เวลาสักหน่อย”

ทั้งนี้ การพัฒนาสินค้าใหม่ขึ้นมา จะยังใช้ชื่อแบรนด์ว่า “คิดคิด” เช่นเดิม และไม่ได้แยกบริษัทออกมาใหม่เพื่อสร้างรายได้ ยังคงรวมกับบริษัทแม่เช่นเดิม

 

โซเชียลช่วยปลุกแบรนด์

อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่า ช่วงที่ผ่านมาเคยเจอจุดวิกฤตของบริษัทมามากมาย และไม่รู้ว่าจะเดินหน้าผลิตภัณฑ์นี้ในทิศทางใด แต่โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียมีส่วนช่วยในการสร้างโอกาส ดังนั้น บริษัทจะมองโอกาสให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งตอนนี้เริ่มต้นจากการสื่อสารภาพลักษณ์ผ่าน Facebook และเชื่อว่าหลังจากนี้ จะมีกลุ่ม Fan ที่เหนียวแน่นติดตามแบรนด์ของเรา

ทั้งยังสามารถส่งต่อภาพลักษณ์ที่แข็งแรงของเราไปยังกลุ่ม Gen Y และ Gen Me ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมเสพย์สื่อออนไลน์ ให้เข้าถึงสินค้าในยุควินเทจ และต่อยอดโอกาสที่หลากหลายด้วย

“การรีแบรนด์ดิ้งบนโลกออนไลน์นั้น ต้องยอมรับว่าใช้ต้นทุนไม่สูงและเข้าถึงคนจำนวนมากๆ ได้ ส่วนจะขยายโอกาสในช่องทางออนไลน์ไปยังโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มอื่นๆ หรือไม่นั้น คงต้องพิจารณาความเหมาะสมก่อน”

ตลาดหมากฝรั่งแข่งดุ

อย่างไรก็ตาม คุณริศร์สุ ยอมรับว่า ตลาดหมากฝรั่งอาจไม่ใช่โอกาสใหญ่ของบริษัทอีกต่อไปแล้ว เพราะมีเจ้าตลาดรายใหญ่ครองอยู่ ซึ่งการแข่งขันที่สูงมาก และ “คิดคิด” ไม่ได้เข้าไปวางขายในร้านค้าปลีกรายใหญ่ ทำให้เสียโอกาสทางการขายไปมาก

“เราวางขายตามร้านค้าปลีกรายย่อย ราคาขายกล่องละ 1-5 บาทเท่านั้น รวมทั้งเงื่อนไขของค้าปลีกรายใหญ่คือต้องทำโฆษณาทางสื่อหลักจริงจัง ซึ่งเราคงไม่สามารถไปสู้กับรายอื่นๆ แบบนั้น”

ภาพลักษณ์ของคนที่กินหมากฝรั่งในต่างประเทศ คือ คนที่ดูเท่ ดูเจ๋ง ถ้าไปสมัครงานแล้วคนหนึ่งนั่งเคี้ยวหมากฝรั่งกับอีกคนนั่งเฉยๆ เขาจะมองว่าคนที่เคี้ยวหมากฝรั่งนั้นเท่มาก แต่หากเป็นในประเทศไทย คนที่เคี้ยวหมากฝรั่งคือคนที่ดูบุคลิกภาพไม่ดี หรือผู้ปกครองไม่ให้เด็กๆ กินเพราะทำให้ฟันผุ ด้วยค่านิยมที่ต่างกันทำให้บริษัทมีช่วงที่แย่เช่นกัน

ทั้งนี้ บริษัทมองว่าจะไม่ไปวางขายบนค้าปลีกรายใหญ่แน่นอน เพราะจะไม่ขึ้นราคาสินค้าให้แพงขึ้น เพื่อแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น แต่มองเรื่องของการทำเป็น Pop-up Store มากกว่า แต่จะรูปแบบไหนคงต้องรอติดตาม

 

กล้าคิด กล้าทดลอง เพื่อโอกาสใหม่

แม้ว่าการจับมือกับดีไซเนอร์ไทย 3 แบรนด์ อย่าง Fox Pixel แบรนด์เสื้อผ้าชุดลำลอง Unisex, April Pool Day แบรนด์ชุดว่ายน้ำวินเทจ และ SHE แบรนด์กระเป๋าสุดชิค จะเป็นความร่วมมือที่น่าสนใจแล้ว สินค้าที่วางขายในครั้งนี้ จะมีวางขายเฉพาะภายในร้าน Absolute Siam Store สยามเซ็นเตอร์เท่านั้น ราคาสินค้าจะเริ่มต้นที่ 550-2,000+ บาท ซึ่งเรียกว่าเป็นสินค้าในกลุ่มพรีเมียม

โดยจะขายเฉพาะปีนี้ หากขายหมดจะไม่มีการผลิตขายเพิ่มแล้ว แต่ถ้าขายไม่หมดก็อาจจะขายบนช่องทางออนไลน์ต่อไป แต่จะไม่มีผลิตเพิ่ม แค่จะขายสินค้าที่ผลิตล็อตนี้มาให้หมดกับช่วงพิเศษนี้ และสินค้าบางชิ้นก็เริ่มขายหมดแล้วด้วย กลายเป็นสิ่งยืนยันว่าชื่อแบรนด์คิดคิด มีความแข็งแรงมาก

“โปรเจคนี้เป็นการ collaborate เพื่อครบรอบ 35 ปี ทำให้ทางทีมงานไม่ได้เน้นที่ยอดขายและปริมาณการผลิต แต่รายได้จากการขายสินค้าจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือดีไซเนอร์, สยามและบริษัท จากนั้นจะทำโปรเจคใหม่ๆ อีกหรือไม่ต้องรอติดตาม”

การก้าวสู่โอกาสใหม่ของแบรนด์หมากฝรั่งชื่อดังในครั้งนี้นั้น เรียกว่าเป็นโอกาสสำคัญที่คนรุ่นใหม่ลงมือเล่นเอง เพื่อให้ผู้ใหญ่ได้รู้ว่าแบรนด์ของคุณจะอยู่รอดหรือไม่ หากฐานภาพลักษณ์แข็งแรง ไม่ว่าจะลงเล่นในตลาดไหนย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ