Site icon Thumbsup

“พัชรี เพิ่มวงศ์อัศวะ” ชี้ 3 เทรนด์ดิจิทัลสำคัญ มาแน่ในไทย

คุณพัชรี เพิ่มวงศ์อัศวะ

เป็นอีกหนึ่งงานที่น่าสนใจจากแสนสิริกับ Digital Marketing Trend Talk ที่นอกจากจะเผยถึงกลยุทธ์ของแสนสิริในการใช้ Digital Platform ทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว งานดังกล่าวยังได้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Marketingอย่าง “คุณพัชรี เพิ่มวงศ์อัศวะ” Digital Director จาก Starcom Mediavest Group มาบอกเล่าเทรนด์ที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับประเทศไทยในปี 2017 ด้วย 

โดยคุณพัชรีแบ่งเทรนด์ดิจิทัลในปีนี้แบ่งออกเป็นสามหัวข้อหลัก ๆ ได้แก่ Power of  Mobility, Data Tracking และ Innovation

1. Power of Mobility

ซึ่งในส่วนแรกอย่าง Power of Mobility นั้น ใครหลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นแค่เรื่องของ Mobile-first แต่คุณพัชรีมองว่า ต่อจากนี้ไป ขอให้มองเป็นเรื่อง Screen-first แทน เพราะผู้บริโภคทุกวันนี้มีโอกาสพบกับหน้าจอต่าง ๆ มากมาย (เช่นกลุ่ม OOH)  ที่ไม่จำกัดเฉพาะแค่หน้าจอสมาร์ทโฟน

“ปัจจุบัน มีตัวเลขว่า 53% ของผู้เยี่ยมชมเว็บมีโอกาสจะเปลี่ยนไปดูเว็บอื่นหากต้องรอนานกว่า 3 วินาทีขึ้นไป ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความต้องการจากอุปกรณ์ Mobile ของผู้บริโภคในยุคต่อจากนี้ก็คือความเร็ว ถ้าตอบสนองไม่ได้ก็จะถูกปิด ดังนั้นจึงมีเทคโนโลยีที่ชื่อว่า AMP ที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับการโหลดคอนเทนต์ได้ถึงสองเท่าเกิดขึ้นมา”

สิ่งที่ตามมาในยุค Mobility ก็คือ เทคโนโลยี Geo-location Targeting ที่ช่วยในการระบุเป้าหมายโดยอ้างอิงจากข้อมูลสถานที่ ซึ่งในปีนี้ จะมีการนำเทคโนโลยี Beacon เข้ามาช่วยด้วย เช่น เราเดินเข้าไปในโลเคชั่นไหน ไม่ใช่มีโฆษณาที่เกี่ยวข้องยิงตรงเข้ามาที่สมาร์ทโฟนเราผ่านบลูทูธอย่างเดียว แต่มันจะเชื่อมโยงไปยังร้านค้า ฯลฯ ที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วย และเมื่อผนวกกับเทคโนโลยีชื่อว่า Business Connect ที่เชื่อมต่อกับ CRM ของแบรนด์ มันจะสามารถ Personalized สิ่งที่ผู้บริโภคอยากจะเห็นได้ลึกยิ่งขึ้น และอาจเกิดป็น Action ได้ตามที่แบรนด์ต้องการนั่นเอง

ส่วนประสบการณ์ตัวสุดท้ายคือ VR ที่จะพบมากขึ้นกับแบรนด์ของบ้าน รถยนต์ เครื่องสำอาง สายการบิน และค้าปลีก โดย VR สามารถช่วยแบรนด์ในการสร้างประสบการณ์ของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น เช่น ร้านค้าเสื้อผ้าแฟชั่นสามารถใช้ VR ให้ลูกค้าลองมีประสบการณ์เสมือนจริงดูก่อนว่าสวมชุดแล้วเป็นอย่างไร หรือแบรนด์รถยนต์ที่นำ VR มาให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริงในการขับรถ เป็นต้น

2. Data Tracking

ถัดมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Data tracking ซึ่งทุกวันนี้เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคชนิดที่เรียกว่าเกาะติดทุกเวลา ว่าผู้บริโภครายนั้นสนใจด้านไหน ใช้เวลากับหน้าเพจไหนสูง เพจไหนต่ำ ฯลฯ ทุกวันนี้คือทราบได้หมด และจะเก็บเป็นโปรไฟล์ของลูกค้าแต่ละคนเอาไว้สำหรับใช้ในการทำการตลาดให้ดียิ่งขึ้น และตรงใจลูกค้าแต่ละรายมากขึ้น

อย่างไรก็ดี การใช้ข้อมูลชุดนี้ก็มีสิ่งที่ต้องใส่ใจด้วยเช่นกัน เพราะลูกค้าบางคนอาจไม่อนุญาตให้แบรนด์ใช้ข้อมูลตัวนี้คุยกับเขาก็ได้ ซึ่งการส่งแมสเซจไปผ่านช่องทางที่ลูกค้าไม่ต้องการจะเป็นการรบกวนเขามากขึ้นไปอีก

3. Innovation Technology

เมื่อพูดถึง Innovation technology ทุกวันนี้เราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ AI, chatbot มากขึ้น ซึ่งการมาถึงของ AI, Chatbot นั้นเป็นเพราะลูกค้าต้องการการตอบสนองจากแบรนด์ที่รวดเร็ว จึงมีความเป็นไปได้ว่า Chatbot คือตัวช่วยสำคัญที่แบรนด์ขนาดใหญ่จะมีการนำมาใช้งานในปีนี้นั่นเอง

นอกจากนี้ คุณพัชรียังมองว่า Voice Activated Personal Assistantเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยในการ Convergence โลกดิจิทัลกับโลกจริง เพราะเราสามารถใช้เสียงในการสั่งการอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านกันมากขึ้น

การมาถึงของ IoT (Internet of Things) ยังนำไปสู่ “Experience of things” ซึ่งเป็นยุคที่ผู้ใช้งานไม่สนใจว่าเบื้องหลังของอุปกรณ์นี้จะพัฒนาได้ยากเย็นแค่ไหน แต่จะสนใจว่า ประสบการณ์อะไรที่เขาจะได้รับ อะไรที่จะทำให้เขาสะดวกขึ้น โดย IoT ยังจะมีส่วนอย่างมากในตลาดบ้านอัจฉริยะ และในยุคปัจจุบันก็มีการต่อเข้ากับการค้าแบบ eCommerceที่ให้เจ้าของบ้านสามารถสั่งซื้ออาหาร เครื่องดื่มผ่านตู้เย็น หรือซื้อของใช้สำหรับซักผ้าได้ผ่าน Amazon Dash ด้วย

หากเป็น1 – 2 ปีก่อนหน้านี้ เราอาจได้ยินได้ฟังเทรนด์ด้าน Digital marketing ที่เล่ามานี้จากสื่อตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับปี 2017 คงต้องบอกว่าเป็นโอกาสดีที่คนไทยจะได้สัมผัสกับเทรนด์เหล่านี้ด้วยตัวเองแล้ว และน่าจะทำให้แวดวงการตลาดของบ้านเรามีสีสันมากขึ้นด้วยค่ะ