ว่ากันว่าหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้แบรนด์โกไวรัลในโลกโซเชียล ก็คือการพูดเรื่องสิทธิของกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน และนั่นคือวิธีที่ Adidas ทำ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันวาเลนไทน์ และจริงๆ แล้ว Adidas ก็เป็นแบรนด์ที่เคลื่อนไหวในประเด็นนี้มาตลอดเช่นกัน
จากรูป จะเห็นว่าเป็นรองเท้า Adidas รุ่นสำหรับผู้หญิงทั้งคู่ และแคปชั่นก็บอกให้รู้ว่า “ความรักจะทำให้เราเท่าเทียมกัน” เป็นวิธีขายของที่เก๋ ตามกระแส และน่ารัก เหมาะสมกับวาเลนไทน์ มีการแสดงความคิดเห็นชื่นชมจากแฟนๆ ผู้ติดตามแอคเคาท์
แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นโดนเกรียนคีย์บอร์ดเข้ามาป่วน
นี่คือตัวอย่าง “WTF ADIDAS???? THIS DAY IS FOR BOY AND GIRL, WHEN THEY ARE COUPLE, NOT FOR LESBIANS, STUPID ADIDAS”
และ “Shame on you adidas !!!! I’m going to Nike now” (ถึงกับจะต้องเลิกใส่ Adidas เลยนะ แหม่)
สิ่งที่ Adidas ตอบกลับโดยเมนชั่นกลับทั้ง 2 ความคิดเห็นนั้นคือ “No, this day is for LOVE. Happy Valentine’s Day,”
“ไม่ใช่ซะหน่อย วันนี้มันเป็นวันแห่งความรัก สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ” พร้อมกับอีโมจิ Kiss
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อแบรนด์ต้องตอบกลับความคิดเห็นในเชิงลบ เรามักจะเห็นการตอบอย่างอะลุ่มอล่วย หรือลูกค้าถูกเสมอ แต่สำหรับ Adidas ในเรื่องที่ตัวเองเชื่อ เราจึงไม่เห็นสิ่งนั้น ที่สำคัญคือมันทำให้เราเห็นว่า การตอบกลับความคิดเห็นก็เป็นการสื่อสารตัวตนของแบรนด์ได้เช่นกัน
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบรนด์ต้องรับมือกับคนที่ต่อต้านรักร่วมเพศ เมื่อปีที่แล้ว Adidas เปิดตัวรองเท้ารุ่นลิมิเต็ด เพื่อสนับสนุนสิทธิเกย์ โดยนำเอารองเท้าในรุ่นยอดนิยมอย่าง Stan Smith, Adilette Slide และ Superstar มาจัดการย้อมสีรุ้งสวยงาม และรายได้บางส่วนก็บริจาคให้กับองค์กรการกุศลที่เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเกย์
นอกจากนี้ Adidas ยังทำข้อตกลงในการเป็นสปอนเซอร์ให้กับนักกีฬา โดยจะต้องไม่มีการถอนสปอนเซอร์หรือยกเลิกการสนับสนุนเมื่อนักกีฬาในสังกัดออกมาเปิดเผยว่าเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน
จากรายงานสรุปตัวเลขของแบรนด์สปอร์ตแวร์ในปี 2015 Adias เป็นที่ 2 ในเรื่องโซเชียลมีเดียในประเภทอุปกรณ์กีฬา ส่วน Nike มาเป็นอันดับ 1 โดยที่ Adidas มีจำนวนผู้ติดตาม 7.1 ล้านคน
แต่ถ้าจะนับในเรื่อง engagement จะเห็นว่า Adidas เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีอัตราส่วนผู้ติดตามกับengagement สูงที่สุดบน Instagram และอาจจะดีกว่า Nike ที่มีจำนวนผู้ติดตามมากกว่า แต่มี engagement พอๆ กัน
ที่มา : Digiday