Site icon Thumbsup

อัพเดทข้อมูล Social Media Marketing ไตรมาส 2 ปี 2013 ในสหรัฐฯ

smm1

ร่วมอัพเดทข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการทำการตลาดผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Media Marketing) ของสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2013 เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนในการทำการตลาดในช่วงเวลาที่เหลือว่าจะมีแนวโน้มเดินไปในทิศทางไหน

เว็บไซต์ Wishpond.com รายงานว่าในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2013 กระแสความนิยมในการใช้ Social Media Marketing ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากผลการสำรวจที่รายงานว่า 21% ของนักการตลาดยังคงมีความเชื่อมั่นและเห็นว่าการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียมีความสำคัญมากขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อีกทั้งในปีนี้ (2013) 23% ของนักการตลาดยังมีการเพิ่มเงินลงทุนในส่วนของโซเชียลมีเดียและบล็อกมากกว่าเดิมในปี 2012 อีกราว 9%

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาประสิทธิภาพในการใช้งาน Social Media Marketing ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะเรื่องของการเพิ่ม Conversion Rate โดยโซเชียลมีเดียสามารถเพิ่มอัตราการซื้อสินค้าต่อจำนวนการคลิก (Conversion Rate) ได้มากกว่าปกติราว 13% พร้อมกับผลดีจากการทำ Trade Show, Telemarketing, Direct Mail และ PPC (Pay Per Click) โดย 74% ของนักการตลาดระบุตรงกันว่า Facebook คือกลยุทธ์สำคัญในการทำการตลาดที่ช่วยเพิ่มความเป็นผู้นำในตลาดของแบรนด์

และนอกจาก Facebook จะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มความเป็นผู้นำตลาดแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ด้วยเช่นกัน โดยผลสำรวจพบว่า Facebook เป็นช่องทางหาลูกค้าได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มโซเชียลมีเดียที่ทำการสำรวจ ซึ่งมีสัดส่วนสูงสุดอยู่ที่ 52% รองลงมาเป็น Linkedin 43% และ Twitter 36%

และเมื่อสอบถามถึงเสียงตอบรับจากบริษัทที่นำเอาโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Twitter มาใช้เป็นกลยุทธ์ในการทำการตลาดก็พบว่า โซเชียลมีเดียทั้ง 2 รูปแบบยังคงได้รับผลตอบรับจากกลุ่มผู้บริโภค โดยบริษัทที่นำเอา Facebook มาใช้ มียอดกด Like รวมกันสูงถึงวันละ 1,000 ครั้ง และยังมีจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์เฉลี่ยต่อวันสูงถึง 1,400 ครั้ง ส่วน Twitter ก็ไม่น้อยหน้าเมื่อพบว่าบริษัทที่นำ Twitter มาใช้ในการทำการตลาดก็มีจำนวนผู้ติดตาม (Follower) เพิ่มขึ้นอีกมากกว่าเดือนละ 1,000 คน และยังมีลูกค้าหน้าใหม่ที่เข้าชมเว็บไซต์สูงถึง 800 คนต่อเดือน

ส่วนกลุ่มผู้บริโภคที่มีบทบาทสำคัญในการตลาดบนโซเชียลมีเดียก็ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มผู้บริโภคเพศหญิง ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสนใจในการติดตามและมีส่วนร่วมแบรนด์สินค้าที่ตนเองชื่นชอบบนโซเชียลมีเดียมากกว่าเพศชาย โดยมีสัดส่วนอยู่ที่หญิง 48% ต่อชาย 43%

กลุ่มบริโภคที่นอกจากจะงานโซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อสื่อสารทั่วไปแล้ว ราว 46% ของผู้บริโภคยังเลือกใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเป็นช่องทางในการซื้อสินค้าออนไลน์ รวมไปถึงยังใช้เพื่อเป็นช่องทางในการร้องเรียนกับแบรนด์เมื่อพบปัญหาเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ โดย 25% ของผู้บริโภคที่ประสบปัญหากลุ่มนี้ คาดหวังว่าจะได้รับการตอบกลับจากแบรนด์อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ที่มา: Visual.ly