Site icon Thumbsup

SOCIAL DISTANCING และผลกระทบต่อพฤติกรรมคนไทย

3 เอเยนซี่ในเครือ ดับบลิวพีพี (WPP) ได้แก่ คันทาร์ อินไซท์ เกรย์เจ ยูไนเต็ด และ มายด์แชร์ (ประเทศไทย) ร่วมกันเผยงานวิจัย SOCIAL DISTANCING และผลกระทบต่อพฤติกรรมคนไทย จากทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มีผลกระทบทำให้เกิดพฤติกรรมใหม่ ๆ กับผู้บริโภคชาวไทยตั้งแต่การเสพสื่อและเนื้อหา รวมไปถึงวิธีการจับจ่ายเปลี่ยนไป

ผลวิจัยในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักการตลาดเข้าใจถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงสามารถตอบสนองและเข้าถึงผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมและทัศนคติที่ไม่เหมือนเดิมจากวิกฤติการณ์ โควิด-19 และสามารถนำแนวคิดไปปรับกลเพื่อให้แบรนด์สามารถสร้างแคมเปญหรือกิจกรรมเพื่อสังคมที่ตรงความคาดหวังในช่วงเวลาที่เหมาะสม

งานวิจัยสื่อโซเชียลมีเดียโดยโดย คันทาร์ อินไซท์ ได้นำเสนอถึงวิวัฒนาการของพฤติกรรมการสื่อสารของผู้บริโภคชาวไทยตั้งแต่เริ่มการระบาดของโรคจนถึงปัจจุบัน

โดยในช่วงแรกของปี 2020 คนไทยเน้นในเรื่องของการตอบสนองต่อวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าในระดับนานาชาติ ซึ่งมีเรื่องของการแสดงออกทางอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

หลังจากที่ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีการรณรงค์ต่าง ๆ เพื่อที่จะลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ พบว่าคนไทยมีการรักษาระยะห่างทางสังคมเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าจากตอนแรก ทำให้ประชาชนเริ่มพูดถึงเรื่องผลกระทบต่อชีวิตมากขึ้น โดย

อย่างไรก็ตาม แม้คนไทยจะวิตกกังวลต่ออนาคต แต่ก็มีการเตรียมตัวและปรับเปลี่ยนชีวิตตามข้อระวังต่างๆ

คุณปัทมวรรณ สถาพร จาก มายด์แชร์ (ประเทศไทย) ได้ทำการสรุปถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยตั้งแต่เริ่มมีการประกาศปิดเมืองและการรักษาระยะห่างทางสังคมไว้ว่า

50% ของคนไทยทำการยกเลิกการเดินทางในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและกว่า 44% ของคนไทยเปลี่ยนมาทำงานที่บ้านแทน ซึ่งทำการการเสพสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและสื่อนอกบ้านลดลง

ในขณะที่การดูทีวีและสื่อดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ มายด์แชร์ พบว่าค่าเฉลี่ยการบริโภคสื่อโทรทัศน์อยู่ที่ 2 ชั่วโมง 17นาที ต่อวัน โดยผู้บริโภคเลือกติดตามคอนเทนต์ประเภทข่าวมากที่สุดเพื่ออัพเดทสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ และรองลงมาเป็นรายการบันเทิง

ในด้านทัศนคติพบว่า 54% ของคนไทยมีความเชื่อว่าเศรษฐกิจจะมีภาวะที่ถดถอยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ 59% ของคนไทยเชื่อว่าการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจจะใช้ระยะเวลาที่ยาวนานและจะส่งผลกระทบต่อการอัตราการว่างงานและธุรกิจขนาดเล็กและกลาง โดยที่กว่า 66% เริ่มมีการวางแผนทางการเงินที่รัดกุมขึ้น

คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์มากขึ้น ทั้งในส่วนของอาหารและการบริการ โดยกว่า 41% มีการสั่งอาหารส่งถึงบ้านในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี 92% ของผู้บริโภคยังคงอยากให้แบรนด์มีโฆษณาอยู่ต่อไป แต่แบรนด์ยังคงต้องสื่อสารด้วยความระมัดระวังโดยเลือกเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นจริงเกี่ยวกับวิธีการป้องกันวิกฤติจากเชื้อไวรัสด้วยวิธีของแบรนด์เอง อีกทั้ง 41% ของคนไทยต้องการให้แบรนด์ยืดหยัดต่อวิกฤติครั้งนี้ ด้วยการแสดงให้เห็นว่าเราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

คันทาร์ เวิร์ลพาแนล เสริมว่าพฤติกรรมการช้อปปิ้งของคนไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากตามที่เคยคาดการณ์ไว้ คนไทยมีการเดินทางไปซื้อของเพิ่มขึ้นในปริมาณที่มากขึ้น

จากผลสำรวจพบว่าคนไทยเป็นผู้บริโภคที่มีเหตุผล อีกทั้งยังเลือกซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัยมากขึ้นเช่นอาหารสดเพื่อไปทำอาหารกันที่บ้าน ซึ่งรวมไปถึงเครื่องดื่มเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

ในช่วงนี้ผู้บริโภคไทยสามารถยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แม้ว่าผู้บริโภคจะระมัดระวังการใช้จ่ายส่วนตัวมากขึ้น แต่ก็นับเป็นการสร้างโอกาสให้แก่แบรนด์ ทั้งนี้การยอมรับไม่ได้หมายความว่าแบรนด์จะต้องแข่งขันกันในเรื่องของราคาเพียงอย่างเดียว เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าผู้บริโภคจะมีการตัดสินใจซื้อสินค้าจากคุณค่าของแบรนด์มากกว่าเรื่องของราคา

จากตัวอย่างการฟื้นตัวของประเทศจีนดังต่อไปนื้ทำให้แบรนด์สามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้บริโภคจะกลับมาเมื่อมาตรการปิดเมืองผ่อนคลายลง