Site icon Thumbsup

เมื่อธุรกิจ streaming และ digital download เติบโตแบบก้าวกระโดด ธุรกิจภาพยนตร์จะเป็นอย่างไรต่อไป

cinema

ภาพประกอบจาก Wired

ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าบทความนี้ไม่มีการสรุป การฟันธง หรือการคาดการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับอนาคตของภาพยนตร์ แต่มันคือการตั้งคำถามเพื่อให้เรามาคิดไปด้วยกันว่าธุรกิจนี้จะเดินต่อไปอย่างไร เพราะไม่ช้าก็เร็ว จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของวงการภาพยนตร์น่าจะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ตัวจุดประกายให้ผมตั้งคำถามนี้ก็คือข่าวจาก Engadget ที่รายงานความร่วมมือล่าสุดของ Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์รายเดือนรายใหญ่ของอเมริกา กับ The Weinstein Company สตูดิโอภาพยนตร์แนวอินดี้ของอเมริกาที่ตัดสินใจจะนำภาพยนตร์ภาคต่อของ Crouching Tiger, Hidden Dragon ซึ่งเป็นภาพยนตร์จากฝั่งจีน/ไต้หวัน/ฮ่องกงที่สามารถเข้าไปคว้ารางวัลออสการ์ได้ด้วยฝีมือของผู้กำกับมือทองอย่าง Ang Lee มาปล่อยให้สมาชิกของ Netflix ได้ดูทันทีในวันที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าโรงฉาย

ในอดีตที่ผ่านมา โมเดลการจำหน่ายภาพยนตร์ก็คือ เริ่มจากเข้าฉายในโรงเพื่อทำเงิน จากนั้นเมื่อกระแสสิ้นสุดลงก็ค่อยทำแผ่นวางจำหน่าย แล้วค่อยเข้าไปสู่ช่องทางการดูที่เข้าถึงบ้านของผู้ชม เช่น HBO เป็นต้น แต่การมาถึงของเทคโนโลยีและบริการใหม่ๆ อย่าง Netflix และ iTunes ทำให้วิถีการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เริ่มเปลี่ยนไป สิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือแต่ละช่วงที่ถูกออกแบบให้แต่ละแพลตฟอร์ม (โรงหนัง, แผ่น, โทรทัศน์/ดิจิทัล) ได้ทำเงินนั้นมีเวลาที่สั้นลง เราจะเห็นแผ่นภาพยนตร์วางจำหน่ายเร็วขึ้น และตัวภาพยนตร์ก็มาถึงจอโทรทัศน์ที่บ้านเร็วขึ้น

แต่สิ่งที่ Netflix กำลังจะนำเสนอด้วยการนำภาพยนตร์ใหม่แกะกล่องมาลง Netflix ในวันเดียวกับที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์นั้นถือว่าเป็นอีกก้าวที่เปลี่ยน”วิถี”การขายภาพยนตร์ไปอย่างสิ้นเชิง แม้นี่น่าจะเป็นเพียงการทดลองเพื่อทดสอบตลาดของ Netflix แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าผู้ให้บริการรายใหม่ๆ กำลังหาวิธี”ตัตตอนผู้ให้บริการ”และ”แพลตฟอร์ม”เดิมๆ อย่างชัดเจน และไม่ช้าก็เร็ว เราคงจะได้เห็นดีลใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยตรงระหว่างผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ชั้นนำและผู้ให้บริการสตรีมมิ่งและดิจิทัลดาวน์โหลด

Neflix เองได้ทดลองหลากหลายรูปแบบโมเดลธุรกิจ เช่น การผลิตซีรี่ส์เพื่อออกบนช่องทางของตัวเองโดยเฉพาะ เช่น House of Cards หรือ Orange is the New Black ที่เป็นซีรี่ส์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและสามารถเข้าไปเจาะเวทีรางวัลอย่าง The Golden Globe จนเอาชนะผู้ท้าชิงอื่นๆ ได้อย่างเหนือความคาดหมาย การที่ Netflix เริ่มเข้าไปดึงภาพยนตร์ใหม่ๆ มาลงจอโทรทัศน์พร้อมกับโรงภาพยนตร์ทันทีถือเป็นอีกก้าวที้่ต้องการให้ Brand New Content ถูกฉายบนช่องทางของตัวเองเป็นที่แรกเพื่อสร้างคุณค่าหรือ value ให้กับฐานสมาชิกที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

จริงๆ แล้วการนำภาพยนตร์ใหม่แกะกล่องมาลงบนช่องทางออนไลน์ถูกทดลองโดย iTunes ไปก่อนหน้านี้แล้ว เราจะเห็นว่า iTunes เองก็เคยนำภาพยนตร์หรือซีรีส์ (เช่น Veronica Mars) มาเปิดให้บริการพร้อมกับวันที่เข้าโรงเช่นกัน แต่หากมองกันที่”ระดับ”ของความสดของคอนเทนต์แล้ว iTunes มักจะได้ความสดใหม่นำหน้า Netflix เสมอ แต่วันนี้ดูเหมือนว่า Netflix กำลังจะเข้ามาท้าชิงความสดใหม่นี้อย่างเต็มตัว และการแข่งขันก็จะทำให้เกิดการพัฒนารูปแบบความร่วมมือที่กลายเป็นตัวผลักดันให้อุตสาหกรรมหันมาสนใจช่องทางนี้มากขึ้น

หากมองไปยังแพลตฟอร์มเดิมๆ อย่าง แผ่นดีวีดี (รวมไปถึงบลูเรย์และรูปแบบ physical อื่นๆ) เราคงจะเดากันได้ไม่ยากว่าการจัดจำหน่ายช่องทางนี้มีแต่ละค่อยๆ หดตัวลงด้วยเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ที่ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการทดลองให้บริการใหม่ๆ ของผู้ให้บริการออนไลน์/ดิจิทัลอย่าง Netflix และ iTunes จึงดูเหมือนจะเป็นแพลตฟอร์มที่น่าจะเข้ามาแย่งตลาดโดยตรงและน่าจะกลายเป็นช่องทางหลักในเวลาไม่กี่ปีต่อจากนี้

คุณผู้อ่านมีความเห็นอย่างไร ลองมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดูนะครับ

อ้างอิง: Engadget