Leader Eat Last

ในโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเดดไลน์, KPI และแรงกดดันให้ทำผลงานแบบไตรมาสต่อไตรมาส เราต่างก็ตามหา “ผู้นำ” ที่จะพาทั้งทีมและองค์กรไปสู่เส้นชัย แต่เคยสงสัยไหมว่าคุณสมบัติที่แท้จริงของภาวะผู้นำคืออะไร? มันคือความสามารถในการปิดดีล? การบริหารตัวเลขที่เฉียบคม? หรือการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล? Simon Sinek นักคิดและผู้เขียนหนังสือขายดีระดับโลก ได้ให้คำตอบที่ลึกซึ้งและทรงพลังกว่านั้นในผลงานชิ้นเอกของเขา “Leaders Eat Last” เขาชวนเราเดินทางย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ เพื่อทำความเข้าใจว่า “ภาวะผู้นำ” ไม่ใช่สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในห้องประชุม แต่เป็นกลไกทางชีววิทยาและสัญชาตญาณที่ฝังลึกอยู่ใน DNA ของเรามานับล้านปีเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์

Sinek ไม่ได้พูดถึงทฤษฎีการบริหารจัดการที่สวยหรู แต่เขาพูดถึงเรื่องของ เคมีในสมอง ที่ควบคุมทุกการกระทำและความรู้สึกของเรา และนี่คือจุดเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนมุมมองของคุณต่อคำว่า “ผู้นำ” ไปตลอดกาล

Leader Eat Last

เคมี 4 ชนิดที่ควบคุมโลก: The Selfish vs. The Selfless Chemicals

หัวใจของแนวคิด Sinek คือการทำความเข้าใจสารเคมีหลัก 4 ตัวที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของเรา ซึ่งเขาสามารถแบ่งมันออกเป็น 2 กลุ่มได้อย่างน่าสนใจ

กลุ่มเห็นแก่ตัว (The Selfish Chemicals): Endorphins & Dopamine

สารเคมีสองตัวนี้มีหน้าที่หลักคือช่วยให้เรา “ทำอะไรให้สำเร็จ” มันคือกลไกที่ผลักดันให้เราออกไปล่าสัตว์ หาอาหาร และสร้างสิ่งต่าง ๆ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

  • เอนดอร์ฟิน (Endorphin): หน้าที่หลักของมันคือการบดบังความเจ็บปวดทางกาย มันคือเหตุผลที่นักวิ่งสามารถวิ่งต่อไปได้แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้า (Runner’s High) ในสมัยดึกดำบรรพ์ มันคือสิ่งที่ช่วยให้นักล่าสามารถทนทนต่อความเหนื่อยยากในการไล่ตามเหยื่อเป็นระยะทางไกล ๆ ได้
  • โดพามีน (Dopamine): นี่คือสารเคมีแห่งการ “บรรลุเป้าหมาย” มันจะหลั่งออกมาเมื่อเราทำอะไรบางอย่างสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการหาอาหารเจอ, การขีดฆ่ารายการ To-do list หรือการปิดยอดขายได้ตามเป้า มันคือความรู้สึก “ฟิน” ที่ทำให้เราอยากทำสิ่งนั้นซ้ำอีกเรื่อย ๆ

ปัญหาคือ: สารเคมีกลุ่มนี้ ออกฤทธิ์ในระยะสั้นและเสพติดได้ง่าย ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การบริหารที่เน้นแต่ตัวเลขและผลงาน (Performance-based) คือการกระตุ้นโดพามีนอย่างต่อเนื่อง มันทำให้พนักงานโฟกัสแต่เป้าหมายของตัวเอง จนอาจนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ ที่ทุกคนยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งเหยียบเพื่อนร่วมงานเพื่อให้ได้มาซึ่ง “โดพามีนช็อต” ของตัวเอง

กลุ่มเพื่อส่วนรวม (The Selfless Chemicals): Serotonin & Oxytocin

สารเคมีสองตัวนี้คือสิ่งที่ทำให้เรารวมตัวกันเป็นสังคม มันคือ “กาวใจ” ที่เชื่อมเราเข้าไว้ด้วยกัน สร้างความไว้วางใจ และทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม

  • เซโรโทนิน (Serotonin): นี่คือ “สารเคมีแห่งความเป็นผู้นำ” มันคือความรู้สึกภาคภูมิใจที่เราได้รับเมื่อคนอื่นเห็นคุณค่าหรือยกย่องเรา และในทางกลับกัน มันคือความรู้สึกเคารพที่เรามีต่อผู้นำหรือคนที่คอยปกป้องเรา เซโรโทนินช่วยเสริมสร้างสถานะทางสังคมและความมั่นใจ
  • ออกซิโทซิน (Oxytocin): หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สารเคมีแห่งความรัก” มันคือความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และผูกพันที่เรามีต่อเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมทีมที่ไว้ใจ มันหลั่งออกมาผ่านการสัมผัสทางกาย, การแสดงความมีน้ำใจ หรือการได้ใช้เวลาร่วมกัน ออกซิโทซินคือรากฐานของความไว้วางใจที่แท้จริง

สารเคมีกลุ่มนี้ ออกฤทธิ์ยาวนานและสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน องค์กรที่ยอดเยี่ยมคือองค์กรที่สร้างสภาพแวดล้อมให้สารเคมีกลุ่มนี้หลั่งออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ

วงจรแห่งความปลอดภัย (Circle of Safety) คือสนามเด็กเล่นของคนเก่ง

เมื่อเข้าใจเรื่องสารเคมีแล้ว Sinek จึงนำเสนอแนวคิดที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ “วงจรแห่งความปลอดภัย” (Circle of Safety)

หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้นำ ไม่ใช่การสั่งการหรือบริหารตัวเลข แต่คือการ ขยายวงจรแห่งความปลอดภัย ให้ครอบคลุมทุกคนในทีม วงจรนี้คือสภาวะที่คนในองค์กรรู้สึกปลอดภัยจาก “ภัยคุกคามภายใน” ไม่ว่าจะเป็นการเมืองในออฟฟิศ, การแทงข้างหลัง, การกลัวที่จะแสดงความเห็น หรือความไม่แน่นอนในการทำงาน

เมื่อคนในทีมรู้สึกปลอดภัยจากกันและกัน พวกเขาจะไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงานไปกับการป้องกันตัวเอง แต่จะทุ่มเทพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ทั้งหมดไปที่การทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับ “ภัยคุกคามภายนอก” เช่น คู่แข่ง หรือสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเคสของบริษัท Barry-Wehmiller ที่มี CEO อย่าง Bob Chapman ผู้ยึดมั่นในปรัชญา “Truly Human Leadership” ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ขณะที่บริษัทอื่น ๆ เลือกที่จะปลดพนักงานออก (ซึ่งเป็นการทำลายวงจรแห่งความปลอดภัยอย่างรุนแรง) Chapman เลือกที่จะให้พนักงานทุกคน ตั้งแต่ CEO ลงไปจนถึงพนักงานระดับปฏิบัติการ “สละวันลาพักร้อนโดยไม่รับค่าจ้าง” คนละ 4 สัปดาห์ เขากล่าวว่า “ยอมเจ็บปวดนิดหน่อยทุกคน ดีกว่าให้ใครคนหนึ่งต้องเจ็บปวดอย่างมหาศาล” การกระทำนี้ได้สร้างความไว้วางใจและความภักดีอย่างมหาศาล พนักงานรู้สึกว่าองค์กรปกป้องพวกเขา และพวกเขาก็พร้อมที่จะปกป้ององค์กรกลับเช่นกัน

อันตรายจากความห่างเหิน (The Dangers of Abstraction)

แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำลายวงจรแห่งความปลอดภัยได้มากที่สุด? Sinek ชี้ไปที่ “ความห่างเหิน” (Abstraction)

เมื่อองค์กรเติบโตขึ้น ผู้นำมักจะห่างเหินจากพนักงานและลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนจะกลายเป็นเพียงตัวเลขบนสเปรดชีต: Headcount, User, Conversion Rate หรือ Expense การบริหารผ่านตัวเลขทำให้ผู้นำสูญเสียความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) และตัดสินใจเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนได้ง่ายขึ้น

Sinek ได้ยกตัวอย่าง การทดลองของ Milgram ที่ผู้เข้าร่วมถูกสั่งให้กดปุ่มช็อตไฟฟ้าคนอื่น (ซึ่งเป็นนักแสดง) โดยจะเพิ่มความแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผลการทดลองพบว่า ยิ่ง “ผู้กดปุ่ม” อยู่ห่างจาก “ผู้ถูกช็อต” มากเท่าไหร่ (เช่น ไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง) พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะกดปุ่มช็อตไฟฟ้าจนถึงระดับที่อันตรายถึงชีวิต นี่คือบทพิสูจน์ว่าความห่างเหินทางกายภาพสามารถทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนโหดร้ายได้

ในโลกธุรกิจก็เช่นกัน การปลดพนักงาน 10,000 คนผ่านอีเมลนั้นทำได้ง่ายกว่าการมองตาแล้วบอกข่าวร้ายกับพนักงานที่คุณรู้จักชื่อและครอบครัวของเขา

Leaders Eat Last เพราะผู้นำคือผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่ผู้มีอำนาจ

Thumbsup มองว่า “Leaders Eat Last” ไม่ใช่แค่หนังสือ แต่เป็นคู่มือสำหรับผู้นำยุคใหม่ที่ต้องการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งและยั่งยืน มันท้าทายให้เรามองข้ามผลกำไรระยะสั้นและตัวชี้วัดที่ฉาบฉวย แล้วหันมาใส่ใจกับสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “คน”

แก่นแท้ของภาวะผู้นำคือการเลือกที่จะรับผิดชอบต่อชีวิตของคนที่อยู่ในความดูแลของเรา มันคือการเสียสละความสะดวกสบายของตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าทีมของเราปลอดภัยและมีทรัพยากรที่จำเป็น เหมือนกับธรรมเนียมของหน่วยนาวิกโยธินที่ผู้นำจะตักอาหารเป็นคนสุดท้ายเสมอ เพราะพวกเขาต้องแน่ใจว่าลูกน้องทุกคนได้กินอิ่มก่อน

ในยุคที่โลกหมุนเร็วและเต็มไปด้วยการแข่งขันสูง องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยความกลัวและโดพามีนอาจจะวิ่งได้เร็วในระยะสั้น แต่สุดท้ายก็จะหมดแรงและล้มลง องค์กรที่จะอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนคือองค์กรที่สร้างขึ้นจากความไว้วางใจ ความร่วมมือ และความรู้สึกปลอดภัยที่หล่อเลี้ยงด้วยเซโรโทนินและออกซิโทซิน

บางที KPI ที่สำคัญที่สุดที่นักการตลาดและผู้บริหารอย่างเราต้องวัด อาจไม่ใช่ ROI หรือ Engagement Rate แต่คือความแข็งแกร่งของ “วงจรแห่งความปลอดภัย” ภายในทีมของเราเอง เพราะเมื่อคนรู้สึกปลอดภัยและเป็นส่วนหนึ่งของเผ่า พวกเขาจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้องค์กรโดยที่เราไม่ต้องร้องขอเลย… นั่นคือสุดยอดกลยุทธ์ระยะยาวที่แท้จริง

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: