ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และหนี้ครัวเรือนยังเป็นแรงกดดันสำคัญ หลายธุรกิจอาจเลือกที่จะ “ตั้งรับ” แต่สำหรับ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX พวกเขาเลือกที่จะ “รุก” และผลลัพธ์ที่ออกมาก็สะท้อนภาพที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขที่เติบโต แต่เป็นเรื่องของการ “เปลี่ยนผ่าน” ที่ชัดเจน จากผู้จัดจำหน่ายไอที (IT Distributor) แบบดั้งเดิม ไปสู่การเป็น “Value-Added IT Distributor” หรือผู้จัดจำหน่ายที่เน้นการสร้างคุณค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์โลกเทคโนโลยีที่กำลังหมุนเร็วขึ้นทุกวัน

กำไรโตเร็วกว่ารายได้ คือสัญญาณบวก
ในไตรมาส 3/2568 ซินเน็ค ทำรายได้จากการขายและบริการไป 12,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 4.0% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
แต่ตัวเลขที่อยากให้จับตา คือ กำไรสุทธิ ที่ 198 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 17.3% (YoY) และ 4.2% (QoQ)
การที่กำไรสุทธิเติบโตในอัตราที่สูงกว่ารายได้ เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บอกเราว่า บริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แม้จะต้องเผชิญกับสภาวะการแข่งขันและการปรับเปลี่ยนของตลาด
เจาะลึก “ไส้ใน” อะไรคือ “พระเอก” ตัวจริงที่ขับเคลื่อนการเติบโต?
เมื่อเรามองลึกลงไปในสัดส่วนรายได้ เราจะเห็น “คลื่น” การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคและองค์กรที่ชัดเจนมาก
- AI Smartphone และ Wearable: คลื่นลูกใหม่ที่มาแรง (โต +67.1% YoY)
นี่คือเซกเมนต์ที่เติบโตโดดเด่นที่สุด การเติบโตถึง 67.1% (YoY) และ 32.4% (QoQ) ไม่ได้มาจากแค่การเปลี่ยนมือถือตามรอบปกติ แต่มีปัจจัยเร่งสำคัญคือ “กระแส AI Smartphone”
นี่คือการยืนยันว่า “AI” ไม่ใช่แค่ Buzzword อีกต่อไป แต่มันได้กลายเป็นคุณสมบัติหลัก (Key Feature) ที่ยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ และ “เร่งรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์” (Replacement Cycle) ได้จริง ประกอบกับเทรนด์สุขภาพที่ยังบูมต่อเนื่อง ก็ช่วยหนุนยอดขายกลุ่ม Smart Watch ไปด้วย ซินเน็คเองก็ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกระดับราคาเพื่อเจาะผู้บริโภคทุกกลุ่ม
- Gaming & Gadget: พลังของ “Hero Product” (โต +95.0% YoY)
การเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 95.0% (YoY) มีพระเอกที่ชัดเจน นั่นคือ “Nintendo Switch 2” ที่เปิดตัวในช่วงปลายไตรมาส 2 และเริ่มส่งมอบสินค้าได้เต็มที่ในไตรมาส 3
นี่คือบทเรียนของพลัง “Hero Product” ที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่อุตสาหกรรมได้ สะท้อนว่าผู้บริโภคยอมจ่ายให้กับ “ประสบการณ์” และความบันเทิงรูปแบบใหม่ ๆ เสมอ
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ Apple: ยักษ์ใหญ่ที่ยังโตไม่หยุด (โต +14.3% YoY)
Apple ยังคงเป็นพอร์ตโฟลิโอหลักที่แข็งแกร่ง สร้างรายได้ถึง 34% ของทั้งหมด การเติบโต 14.3% (YoY) ได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัว iPhone 17 Series แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ “กลยุทธ์” ของซินเน็ค
พวกเขาไม่ได้เน้นแค่การขายเครื่องให้คอนซูเมอร์ แต่กำลังรุกตลาดองค์กรและภาคการศึกษาอย่างหนัก ผ่าน “Solution-Based Offering” หรือการนำเสนอสินค้าควบคู่กับบริการและซอฟต์แวร์ นี่คือการขยายตลาด และสร้างมูลค่าเพิ่มที่ชาญฉลาดมาก
- Enterprise Solution: หัวใจของ “Value-Added” (โต +12.4% YoY)
แม้จะไม่ได้โตหวือหวาเท่ากลุ่มคอนซูเมอร์ แต่การเติบโต 12.4% (YoY) และพุ่งถึง 27.4% (QoQ) ในกลุ่มเอนเตอร์ไพรซ์ คือ “อนาคต” ของบริษัท
การเติบโตนี้มาจากการที่องค์กรต่าง ๆ ยังคงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Cloud, Cybersecurity และซอฟต์แวร์เฉพาะทาง จุดเปลี่ยนสำคัญคือการที่ ซินเน็คขยายพอร์ตไปสู่ “Energy Solution” เพื่อรองรับเทรนด์พลังงานสะอาด และการยกระดับความร่วมมือกับ AWS สู่ “Advanced Tier Services Partner” ซึ่งเป็นการตอกย้ำความน่าเชื่อถือในตลาด Cloud ที่กำลังแข่งขันสูง
“คลื่นลม” ที่ต้องฝ่า กับเซกเมนต์ที่ชะลอตัวบอกอะไรเรา?
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกกลุ่มที่จะเติบโต ในรายงานระบุว่ากลุ่ม IT Consumer (-5.6% YoY) และ IT Commercial (-3.4% YoY) มีการชะลอตัว
- IT Consumer: ตัวฉุดหลักคือกลุ่ม Printing ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจาก Digital Transformation ที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้ระบบดิจิทัลมากขึ้น ซินเน็คเองก็รู้ทันเกม โดยปรับกลยุทธ์ไปมุ่งตลาด Commercial Printing ที่มีกำลังซื้อและมาร์จิ้นสูงกว่า
- IT Commercial: การชะลอตัวมาจากกลุ่ม Project-based และ System Integration (SI) ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจที่การลงทุนภาคเอกชนยังชะลอตัว
เบื้องหลังความสำเร็จ “การลงทุน” เพื่อประสิทธิภาพ
การที่กำไรโตเร็วกว่ายอดขาย ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาจากการบริหารจัดการ
แม้กำไรขั้นต้น (Gross Profit) จะเพิ่มขึ้น 10.3% แต่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ลดลงเล็กน้อยเหลือ 3.86% (จาก 3.94% ปีก่อน) ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะสัดส่วนการเติบโตหลักมาจากกลุ่ม Apple และมือถือ ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่ากลุ่มอื่น
หัวใจสำคัญอยู่ที่ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ซึ่งอยู่ที่ 2.17% ของยอดขาย ลดลงจากไตรมาสก่อน แม้ว่าตัวเงินค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น 14.6% (YoY) แต่การเพิ่มขึ้นนี้คือ “การลงทุน” เพื่ออนาคต โดยเฉพาะการลงทุนในระบบคลังสินค้าอัจฉริยะ และระบบ AI ภายในองค์กร นี่คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุนในระยะยาว
นอกจากนี้ การที่บริษัทให้ความสำคัญกับ ESG จนได้รับเรตติ้ง SET ESG ระดับ AA ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 และ CG Score ระดับ 5 ดาว ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนให้กับแบรนด์ในสายตาพันทมิตรและนักลงทุน
“ผลประกอบการในไตรมาสนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของซินเน็ค ที่ก้าวผ่านจาก IT Distributor สู่ Value-Added IT Distributor ที่ไม่เพียงเพิ่มคุณค่าให้กับบริษัทเอง แต่ยังส่งต่อคุณค่าให้กับลูกค้าและพันธมิตร ผ่านการเป็น Value Creator มากกว่าเป็นผู้จัดจำหน่าย พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, Cloud และ Smart Energy มายกระดับโซลูชันของเรา ขยายพอร์ตสินค้าไปสู่กลุ่มที่มีมาร์จิ้นสูง เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ” สุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX กล่าว
พร้อมประเมินแนวโน้มไตรมาส 4/2568 คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะทยอยฟื้นตัวชัดเจนขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล โดยเฉพาะการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงปลายปี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคธุรกิจเริ่มกลับมาลงทุนมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการสินค้าเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
Thumbsup มองว่า ผลประกอบการ Q3/2568 ของซินเน็คไม่ใช่แค่รายงานตัวเลข แต่เป็น “Case Study” ชั้นดีที่บอกเราว่า
- “AI” คือตัวจริงในการขับเคลื่อนยอดขาย: กระแส AI Smartphone ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้จริง มันคือ “นวัตกรรม” ที่จับต้องได้ซึ่งตลาดรอคอยมานาน นักการตลาดต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะผูกผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเข้ากับ “ประสบการณ์ AI” ได้อย่างไร
- การเปลี่ยนผ่านสู่ “Value-Added” คือทางรอด: ในยุคที่ฮาร์ดแวร์มาร์จิ้นต่ำลงเรื่อย ๆ การ “ขายของ” อย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป กลยุทธ์ของซินเน็คในการยกระดับสู่ “Value-Added Distributor” โดยเน้นโซลูชันมาร์จิ้นสูงอย่าง Cloud, Cybersecurity และ Energy Solution คือ “พิมพ์เขียว” ที่ทุกธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีต้องศึกษา
- ลงทุนใน “ประสิทธิภาพ” แม้ในยามเศรษฐกิจชะลอ: ในขณะที่หลายคนรัดเข็มขัดซินเน็ตเลือกที่จะ “ลงทุน” ในเทคโนโลยี AI และคลังสินค้าอัจฉริยะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพภายใน นี่คือการเดิมพันกับอนาคตที่ถูกต้อง เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว องค์กรที่มี “Operation” ที่ลีนและชาญฉลาดที่สุด จะเป็นผู้ชนะในเกมระยะยาว
สรุปได้ว่าซินเน็คในไตรมาส 3 นี้ ได้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวที่น่าทึ่ง พวกเขาไม่เพียงแค่ “ขาย” สินค้าตามเทรนด์ แต่กำลัง “สร้าง” ตลาดใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าสูงกว่าเดิม ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ท้าทาย
อ้างอิง: Synnex
อ่านเพิ่มเติม


