ในโลกของการทำงาน โดยเฉพาะในแวดวงการตลาดและเทคโนโลยีที่เราคุ้นเคยกันดี คำว่า Now หรือ เดี๋ยวนี้ มักมาพร้อมกับความเร่งรีบ Real-time Marketing, Instant Gratification หรือ Deadline ที่จ่อคอหอย แต่สำหรับ Eckhart Tolle ในหนังสือ The Power of Now คำว่า เดี๋ยวนี้ กลับมีความหมายที่ลึกซึ้งและทรงพลังในทางตรงกันข้าม มันคือทางรอดเดียวของจิตวิญญาณท่ามกลางความวุ่นวาย
วันนี้ Thumbsup จะพาไปชำแหละแก่นแท้ของหนังสือเล่มนี้ ผ่านมุมมองของคนทำงานที่มักติดกับดักของ ความสำเร็จในอนาคต จนลืมไปว่า อำนาจที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงชีวิต อยู่ที่วินาทีนี้เท่านั้น

เมื่อเราเสพติด “การคิด” จนลืม “การอยู่”
เคยสังเกตไหมว่าในหนึ่งวัน หัวสมองของเราทำงานหนักแค่ไหน? ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่คือเสียงในหัวที่พร่ำบ่น ตัดสิน และวิเคราะห์ทุกอย่างตลอดเวลา Eckhart Tolle ชี้ให้เห็น Pain Point สำคัญของมนุษย์เราคือ การเสพติดความคิด
เรามักเข้าใจผิดว่า ตัวเรา = ความคิดของเรา แต่จริง ๆ แล้ว ความคิดเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น ปัญหาคือเราใช้เครื่องมือนี้จนมันกลายเป็นเจ้านายเรา เราปล่อยให้เสียงในหัวสร้างตัวตนจอมปลอมที่เรียกว่า Ego ขึ้นมา ซึ่งเจ้า Ego นี้แหละคือตัวการที่ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดเวลา
ในบริบทของการทำงาน Ego คือเสียงที่บอกว่า ถ้าโปรเจกต์นี้ไม่ปัง ฉันคือคนล้มเหลว หรือ ถ้าฉันไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันก็ไม่มีค่า มันทำให้เราเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกติดกับปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นยอดไลก์ ยอดขาย หรือคำชมจากหัวหน้า ซึ่งเมื่อไหร่ที่สิ่งเหล่านี้หายไป เราก็จะเกิด Existential Crisis หรือวิกฤตตัวตนทันที
เลิกแบกอดีต เลิกหลอนอนาคต
ประเด็นที่ Mind-blowing ที่สุดของเล่มนี้คือแนวคิดเรื่อง เวลา
Tolle บอกว่า อดีตและอนาคต เป็นเพียงภาพลวงตาที่สมองสร้างขึ้น
- อดีต คือความทรงจำที่ทิ้งร่องรอยไว้ และมักถูก Ego หยิบมาตอกย้ำความผิดพลาด
- อนาคต คือการคาดเดาที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งมักมาพร้อมกับความหวังที่เจือความกลัว
สำหรับคนทำงาน เรามักใช้ชีวิตอยู่บน Psychological Time หรือเวลาทางจิตใจ เรากังวลกับความผิดพลาดในแคมเปญที่แล้ว หรืออดีต และเครียดกับเป้าหมายไตรมาสหน้า หรืออนาคต จนลืมไปว่า ชีวิตจริงเกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น
เมื่อเราเอาใจไปผูกไว้กับอนาคต เราจะมองปัจจุบันเป็นแค่ ทางผ่าน หรือแย่กว่านั้นคือมองเป็น อุปสรรค ที่ต้องรีบข้ามไปให้พ้น ๆ เพื่อไปถึงเป้าหมาย การมองแบบนี้ทำให้เราทำงานด้วยความเครียด แทนที่จะเป็นความลื่นไหล ผลลัพธ์คือ Burnout และความทุกข์ที่สะสมโดยไม่รู้ตัว
“ปัญหามีจริง” หรือแค่ “ใจปรุงแต่ง”?
ลองถามตัวเองดูว่า ณ วินาทีนี้ เดี๋ยวนี้เลย… คุณมีปัญหาอะไรไหม?
ถ้าตอบตามความเป็นจริง โดยไม่เอาความจำจากเมื่อวานหรือความกังวลของพรุ่งนี้มารวมอยู่ด้วย คุณจะพบว่า ณ วินาทีนี้ ทุกอย่างปกติ
Tolle แยกแยะความแตกต่างระหว่าง สถานการณ์ชีวิต กับ ปัญหา
- สถานการณ์: งานเยอะ เดดไลน์ใกล้เข้ามา เงินหมุนไม่ทัน สิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริงที่ต้องจัดการ
- ปัญหา: คือการที่สมองเราไปตีความสถานการณ์เหล่านั้น ใส่ดราม่า ใส่ความกังวล จนกลายเป็นความทุกข์ทางใจ
เมื่อเกิดวิกฤต คนที่มีสติรู้ตัวจะไม่เสียเวลากับการบ่นหรือตีโพยตีพาย แต่จะ ทำ สิ่งที่ต้องทำทันที พลังของปัจจุบันคือการตัดวงจรดราม่าในหัว แล้วเปลี่ยนเป็น Action ที่ทรงประสิทธิภาพ
ทำไมเราถึงเรียกร้องดราม่า?
ในแง่ของความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกับคนรัก เพื่อนร่วมงาน หรือเจ้านาย สาเหตุที่เราขัดแย้งกันบ่อย ๆ เพราะเราไม่ได้สื่อสารกันด้วยตัวตนที่แท้จริง แต่เราเอา Ego มาชนกัน
Ego ชอบความขัดแย้ง เพราะมันทำให้ตัวตนของมันชัดเจนขึ้น เช่น ฉันถูก เธอผิด Ego ชอบบทบาทเหยื่อ เพราะมันช่วยให้เราไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง การฝึกสติรู้ตัวจะช่วยให้เรามองเห็นกลไกนี้ เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ แทนที่จะโกรธ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของ Ego ที่กลัวเสียหน้า เราจะรับฟังข้อมูลอย่างเป็นกลาง และแยกแยะได้ว่านั่นคือ Feedback เพื่อพัฒนางาน ไม่ใช่การโจมตีตัวตนของเรา
ความรักที่แท้จริง หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่ดีในทีม จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเลิกคาดหวังให้อีกฝ่ายมา เติมเต็ม ส่วนที่ขาดหายของเรา เพราะการแสวงหาความสมบูรณ์จากภายนอกคือกับดักที่ไม่จบสิ้น ความสมบูรณ์ที่แท้จริงต้องเริ่มจากภายในที่สงบและรู้เนื้อรู้ตัว
วิธีฝึก “ปิดสวิตช์ความคิด” ฉบับคนงานยุ่ง
การจะบอกให้คนทำงานที่ยุ่งวุ่นวายไปนั่งสมาธิวันละชั่วโมงอาจเป็นเรื่องยาก แต่ Tolle เสนอเทคนิคที่ทำได้ทันที
- Watch the Thinker: ลองสังเกตความคิดตัวเองเหมือนเป็นบุคคลที่สาม เวลาโกรธหรือกังวล อย่าเพิ่งกระโจนลงไปเล่นในอารมณ์นั้น ให้ถอยออกมาดูว่า อ๋อ… ตอนนี้สมองกำลังคิดลบอยู่แฮะ แค่การรู้ตัว ก็ถือว่าเราเริ่มหลุดจากอำนาจของ Ego แล้ว
- Feel the Inner Body: เวลาเครียด ๆ ลองดึงความสนใจมาที่มือ เท้า หรือลมหายใจ การโฟกัสที่ความรู้สึกทางกาย จะช่วยดึงจิตออกจากความคิดในหัว กลับมาสู่ปัจจุบันทันที
- Surrender: ไม่ได้แปลว่ายอมแพ้ แต่หมายถึงการ ยอมรับความจริงตรงหน้า อย่างไม่มีเงื่อนไข เลิกต้านทานสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น งานพลาดไปแล้ว ลูกค้าด่าไปแล้ว เมื่อใจยอมรับได้ เราจะมีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าการดิ้นรนปฏิเสธความจริง
Thumbsup มองว่า The Power of Now ไม่ได้บอกให้เราทิ้งการวางแผน หรือเลิกมีความทะเยอทะยาน แต่กำลังบอกให้เราเปลี่ยน Qualtity of Doing หรือคุณภาพของการกระทำ
เมื่อเราทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความตระหนักรู้ในปัจจุบัน งานที่ออกมาจะมีคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์จะลื่นไหล และที่สำคัญ เราจะมีความสุขระหว่างทาง ไม่ใช่รอมีความสุขแค่ตอนถึงเส้นชัย ซึ่งในโลกธุรกิจที่เส้นชัยขยับหนีเราไปเรื่อย ๆ การมีความสุขได้ เดี๋ยวนี้ คือกำไรชีวิตที่มหาศาลที่สุด
ในฐานะคนทำงาน การฝึกอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่เรื่องทางธรรมที่จับต้องไม่ได้ แต่มันคือ Soft Skill ขั้นสูงที่จะช่วยให้คุณรอดพ้นจาก Burnout รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทีม และตัดสินใจเรื่องยาก ๆ ได้อย่างเฉียบคมขึ้น เพราะเมื่อเมฆหมอกแห่งความคิดจางลง คุณจะเห็นท้องฟ้าแห่งความเป็นจริงที่ชัดเจน
ลองเริ่มจากสิ่งง่าย ๆ ในการประชุมครั้งต่อไป ลองฟังเพื่อนร่วมงานแบบ Deep Listening โดยไม่มีเสียงตัดสินในหัว หรือระหว่างเดินไปกดกาแฟ ลองทิ้งมือถือแล้วโฟกัสกับการก้าวเดินดูบ้าง แล้วคุณจะพบว่า ความสงบไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล แต่อยู่ที่ Now นี่เอง
อ่านเพิ่มเติม



