ในยุคที่ ‘ข้อมูล’ ถูกยกย่องให้เป็นน้ำมันชนิดใหม่ (The New Oil) ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล พวกเราในฐานะคนทำงานการตลาดและเทคโนโลยีต่างรู้ดีว่า ใครมีข้อมูลเชิงลึกอยู่ในมือมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบในการแข่งขันมากเท่านั้น เราใช้ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจลูกค้า, Personalize แคมเปญ, ไปจนถึงการสร้างโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ท่ามกลางสมรภูมิแห่งการเก็บและใช้ข้อมูลอย่างดุเดือดนี้ ‘เส้นแบ่ง’ ที่เหมาะสมระหว่างการนำข้อมูลไปใช้เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ กับการเคารพ ‘ความเป็นส่วนตัว’ และสิทธิของเจ้าของข้อมูลมันอยู่ตรงไหน?

นี่ไม่ใช่แค่คำถามโลกสวย แต่เป็นโจทย์ใหญ่ระดับโครงสร้างที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำธุรกิจในทุกวันนี้ และเป็นที่มาของเวทีเสวนาครั้งสำคัญอย่าง “Data Governance in Thailand” ที่จัดขึ้นโดย LIRNEasia สถาบันวิจัยนโยบายจากศรีลังกา ร่วมกับพันธมิตรทั้งจากไทยและต่างประเทศ ซึ่ง Thumbsup ก็ไม่พลาดที่จะเข้าไปเก็บทุกประเด็นสำคัญมาฝากกัน ต้องบอกเลยว่านี่คือวงสนทนาที่รวมเอาผู้เล่นตัวจริงจาก 3 ภาคส่วน ทั้งภาครัฐ, เอกชน และนักวิชาการ มาถกกันถึงแก่น เพื่อหาจุดสมดุลให้กับ ‘ธรรมาภิบาลข้อมูล’ ของประเทศไทย

Data Governance ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่มันคือ ‘กติกา’ ของสนามรบใหม่

ก่อนจะไปไกลกว่านี้ เรามาทำความเข้าใจคำว่า “ธรรมาภิบาลข้อมูล” หรือ Data Governance ในภาษาที่ย่อยง่ายกันก่อนดีกว่า ถ้าจะให้อุปมา มันก็เหมือนกับการวาง ‘ผังเมือง’ ให้กับโลกดิจิทัล เป็นการกำหนดกฎ กติกา นโยบาย และมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อควบคุมว่าใครสามารถเข้าถึง, จัดเก็บ, ใช้งาน และแบ่งปันข้อมูลได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้การจราจรของข้อมูลไหลลื่น สร้างประโยชน์สูงสุด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีทางม้าลาย, สัญญาณไฟ และกฎหมายคุ้มครอง เพื่อให้ผู้คนในเมืองนี้ (เจ้าของข้อมูล) รู้สึกปลอดภัย

Helani Galpaya CEO ของ LIRNEasia ได้ฉายภาพใหญ่ให้เห็นว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับข้อมูลนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกันในคราวเดียว แต่มันค่อย ๆ พัฒนาไปตามยุคสมัยและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ทำให้บางครั้งกฎหมายแต่ละฉบับก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่การสร้าง ‘สมดุล’ ให้กับกฎหมายเหล่านี้ เพื่อให้เกิดระบบการกำกับดูแลข้อมูลที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นความท้าทายที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทย แต่เป็นโจทย์ร่วมกันของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย

เวทีเสวนานี้จึงไม่ได้มองแค่บริบทของประเทศไทย แต่ยังสำรวจแนวทางปฏิบัติในอีก 6 ประเทศ ทั้งอินเดีย, อินโดนีเซีย, ศรีลังกา, เนปาล, ปากีสถาน และฟิลิปปินส์ เพื่อเรียนรู้และเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทุกคนกำลังเผชิญกับความตึงเครียด (Tension) แบบเดียวกัน คือจะทำอย่างไรให้การใช้ข้อมูลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้าได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะในเรื่องการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล

ภาพรวมความท้าทายด้านข้อมูลในภูมิภาคเอเชีย

ในช่วงแรกของการอภิปราย ได้มีการพูดคุยถึงภาพรวมในระดับภูมิภาค ซึ่งทำให้เราเห็นว่าโจทย์ของไทยไม่ได้โดดเดี่ยว ประเด็นที่น่าสนใจซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาโดยวิทยากรจากหลายประเทศ มีดังนี้

  • เทคโนโลยีไปไกล แต่กฎหมายตามทันหรือไม่?: การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว โดยเฉพาะการมาถึงของ AI และข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) ที่อาจไม่ได้ถูกต้อง 100% กำลังสร้างความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับผู้กำกับดูแล
  • ความโปร่งใสคือหัวใจ: การเชื่อมโยงข้อมูลจำนวนมหาศาลต้องมาพร้อมกับความโปร่งใสและความคุ้มครองสิทธิของประชาชน ซึ่งเป็นหลักการที่พูดง่ายแต่ทำยากในทางปฏิบัติ
  • PDPA และ Copyright ในโลกดิจิทัล: กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และกฎหมายลิขสิทธิ์กลายเป็นสองแกนหลักที่ทุกประเทศต้องหาจุดลงตัวในการบังคับใช้ในยุคดิจิทัล

ภาพรวมนี้ชี้ให้เห็นว่า ทุกประเทศกำลังพยายามสร้าง ‘พิมพ์เขียว’ ด้านธรรมาภิบาลข้อมูลของตัวเอง โดยได้รับอิทธิพลจากโมเดลของยุโรป (เช่น GDPR) และของโลก แต่ก็ต้องปรับให้เข้ากับบริบทของสังคมและเศรษฐกิจในเอเชีย

เจาะลึกบริบทไทยเมื่อทุกองคาพยพต้องหาจุดสมดุลร่วมกัน

มาถึงช่วงไฮไลต์ที่ทุกคนรอคอย คือการเจาะลึกสถานการณ์ในประเทศไทย โดย รองศาสตราจารย์ ดร. จอมพล พิทักษ์สันตโยธิน ได้นำเสนอผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า กลไกเบื้องหลังธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐของไทยนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยกฎหมายสำคัญหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ. การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล, พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ และแน่นอนว่าคือ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ที่พวกเราคุ้นเคยกันดี

ประเด็นสำคัญคือ กฎหมายแต่ละฉบับมีทั้งมิติของการ ‘เปิดเผย’ และ ‘ปกป้อง’ ข้อมูล ซึ่งจำเป็นต้องมีการประสานและเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมีมุมมองที่น่าสนใจจากวิทยากรท่านอื่นๆ ดังนี้:

  • มิติประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วม: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล จากคณะนิติศาสตร์ มธ. มองว่า การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสังคมประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐ และใช้สิทธิ์เรียกร้องได้อย่างมีหลักการ
  • บทบาทผู้คุมกฎ PDPA: พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ จาก สคส. (PDPC) ย้ำว่า PDPA พยายามสร้างสมดุลระหว่างการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ กับการคุ้มครองสิทธิ์ของเจ้าของข้อมูล ซึ่งทุกกระบวนการต้องตั้งอยู่บนความถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย
  • การสร้างสมดุลของรัฐบาลดิจิทัล: ดร. มณฑา ชยากรวิกรม จาก DGA ชี้ว่า การจะสร้างสมดุลระหว่างการเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใสกับความมั่นคงของชาติได้นั้น ต้องมีหลักเกณฑ์การจัดประเภทข้อมูลที่ชัดเจนและมีกระบวนการที่ยืดหยุ่น
  • รัฐเชิงรุกกับการเปิดข้อมูล: เฉลิมพล เลียบทวี จาก สขร. (OIC) ยกตัวอย่างการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณโครงการต่างๆ ของรัฐ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนตรวจสอบได้ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ภาคเอกชนสามารถเข้าแข่งขันอย่างเป็นธรรม
  • ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล: ดร. ศิธร กุลรดาธร จาก DEPA ปิดท้ายในมุมมองที่ใกล้ตัวพวกเราชาวธุรกิจและเทคโนโลยีมากที่สุด โดยเน้นย้ำว่าการเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูลระหว่างภาครัฐและเอกชน คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI และเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

จาก ‘Data Governance’ สู่ ‘Trust Governance’

Thumbsup มองว่า Data Governance ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายกฎหมายหรือ IT เท่านั้น แต่มันคือเรื่องของทุกคนในองค์กร โดยเฉพาะนักการตลาดและนักกลยุทธ์ การสนทนาในวันนั้นเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า เรากำลังก้าวข้ามจากยุคที่เน้นแค่การ ‘เก็บ’ และ ‘ใช้’ ข้อมูล ไปสู่ยุคที่เราต้อง ‘บริหารจัดการ’ ข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบ

สำหรับคนในวงการอย่างเรา นี่คือสัญญาณเตือนว่าการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่มองข้อมูลเป็นเพียงทรัพยากรเพื่อสร้างยอดขายกำลังจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป การแข่งขันในสมรภูมิข้างหน้าไม่ได้วัดกันแค่ว่าใครมี AI ที่ฉลาดกว่า หรือมี Big Data ใหญ่กว่า แต่วัดกันที่ว่า ใครสามารถสร้าง ‘ความไว้วางใจ’ (Trust) กับผู้บริโภคได้มากกว่ากัน

ธรรมาภิบาลข้อมูลที่ดี จึงไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อไม่ให้ถูกฟ้อง แต่มันคือการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับแบรนด์ แบรนด์ที่โปร่งใสในการใช้ข้อมูล, ให้เกียรติความเป็นส่วนตัวของลูกค้า และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา จะกลายเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคยุคใหม่เลือกที่จะสนับสนุนในระยะยาว

โจทย์ใหญ่ที่ LIRNEasia และวิทยากรทุกท่านทิ้งไว้ให้เราขบคิดต่อก็คือ ประเทศไทยจะหาจุดสมดุลที่ ‘ใช่’ สำหรับตัวเองได้อย่างไร ระหว่างการปลดล็อกศักยภาพของข้อมูลเพื่อสร้างนวัตกรรมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กับการสร้างเกราะคุ้มกันที่แข็งแรงพอที่จะปกป้องสิทธิและความเป็นส่วนตัวของพลเมืองทุกคน นี่คือการเดินทางที่เพิ่งเริ่มต้น และเป็นภารกิจที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างกฎ แต่เพื่อสร้าง ‘วัฒนธรรม’ การใช้ข้อมูลที่ยั่งยืนสำหรับอนาคตของพวกเราทุกคน

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: