Site icon Thumbsup

6 ข้อน่าคิดในการทำการตลาดผ่าน Facebook

do-this-not-that-facebook-edition

ค่อนข้างมั่นใจว่าในเวลานี้แทบทุกแบรนด์หันมาให้ความสำคัญกับการทำการตลาดบนแพลตฟอร์มที่เรียกว่า Facebook ที่ทุกวันนี้มีผู้ใช้งานมากกว่าพันล้านคน แต่ก็ต้องยอมรับกันอีกนั่นแหละว่าคนที่โดดมาทำการตลาดบน Facebook นี่ด้วยพื้นฐานแล้วจะมาจากคนที่ทำการตลาดแบบดั้งเดิมมาแทบทั้งสิ้น การย้ายมาดูบางคนก็ไม่ได้ศึกษาพฤติกรรมของคนบนโลกออนไลน์ว่าเป็นอย่างไร ทำให้พบกับความล้มเหลว ซึ่งก็เห็นได้บ่อยจนแทบจะเป็นเรื่องปกติ

บทความนี้ผมไปเจอ infographic ที่อธิบายการทำการตลาดบน Facebook แบบเบื้องต้นได้แบบสรุปรวมทั้งน่าจะเป็นสิ่งที่เตือนสำหรับคนที่ทำอยู่ปัจจุบันว่าลืมคิดถึงอะไรไปหรือเปล่า กับ 6 สิ่งที่ควรทำ และ 6 สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อทำการตลาดผ่าน Facebook ลองอ่านกันดูนะครับ โดยผมจะไม่แปลบทความทั้งหมด แต่จะใส่สิ่งที่ผมพอรู้ลงไปบ้าง ถือเป็นการแบ่งปันนะครับ

ลองทำตามกฎ 80/20 หรือจะขายแหลกดี?

ใครที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับการบริหารจัดการอยู่ก็น่าจะเคยเห็นชุดตัวเลขนี้ เพราะนี่คือหลักการพาเรโต (Pareto Principle) สำหรับใน Facebook นั้นก็มีการเอากฎนี้มาใช้ด้วย นั่นก็คือการผสมผสานการโพสต์ข้อความระหว่างการพูดถึงเรื่องที่คนทั่วไปสนใจ 80% และพูดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา 20% นั่นคือการพูดเรื่องทั่วๆ ไปที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหรือวงการที่เราทำอยู่ ส่วนที่เหลือคือการบอกเล่าสิ่งที่เราทำหรือให้บริการอยู่โดยตรง หรือเรียกกันซื่อๆ ว่าเราขายอะไรก็บอกไปเลย

แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คิดว่า Facebook คือช่องทางการขาย เลยผลิตแต่เนื้อหาเพื่อการขายของแต่เพียงอย่างเดียว Scott Hancock  บอกได้น่าสนใจครับว่า การพูดถึงแต่การโฆษณาสินค้าตลอดเวลาก็เหมือนกับเวลาเราเปิดช่องดูรายการโทรทัศน์เรื่องที่เราชอบ แต่กลับได้ดูแต่โฆษณาตลอดเวลา จนในที่สุดคนที่เปิดดูก็เลือกที่จะเปลี่ยนช่องหรือเลิกดูช่องนั้นไปเลย

ดังนั้นแล้วการแบ่งสัดส่วนเนื้อหานั้นควรถูกนำมาพิจารณาด้วย อาจจะแบ่งเป็น 80/20 หรือแบ่งตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับเราจะกำหนด

*มีบางเพจเน้นการขายอย่างเดียวแต่ก็ยังมีคนติดตาม ซึ่งก่อนอื่นต้องคิดวัตถุประสงค์ก่อน อย่างเช่น Uniqlo ร้านขายเสื้อผ้า สิ่งที่คนต้องการรับรู้ก็คือสินค้าใหม่ๆ หรือโปรโมชันใหม่ๆ ซึ่งคนที่ดูก็ยินดีที่จะรอรับข่าวสาร ดังนั้น Page นี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้สัดส่วนการแบ่งเนื้อหาแต่อย่างใด

การตอบสนองต่อผู้มาติดต่อเราอย่างทันท่วงที

ไม่ว่าใครที่มาติดต่อสอบถาม คนคนนั้นก็อยากจะได้รับการตอบรับด้วยคำตอบไม่ว่าอะไรก็ตาม การที่เราบอกแล้วถูกนิ่งเฉยไร้การตอบสนอง เป็นใครก็คงไม่ชอบใช่ไหมล่ะครับ โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนหรือเป็นด้านลบ ที่พร้อมจะเป็นดราม่าพันทิปได้ตลอดเวลา ดังนั้นการตอบสนองที่รวดเร็ว รวมทั้งการรับมือกับการร้องเรียนที่ถูกวิธีนั้นจะช่วยให้สิ่งที่เกิดขึ้นจากหนักเป็นเบาได้ครับ โดยมีเวลาที่น่าสนใจคือ เราควรตอบสนองต่อข้อความภายใน 1 ชั่วโมงเพื่อการรับเรื่อง หรืออย่างช้าที่สุดก็ไม่ควรเกิน 24 ชั่วโมง

แต่เจ้าของหรือผู้ดูแลบาง Page ก็เลือกที่จะเพิกเฉยกับสิ่งที่ลูกค้าเขียนเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านดีและด้านลบ ซึ่งผลที่ได้นั้นจะยิ่งทำให้ผู้ที่มาเขียนคำเสนอแนะหรือมาร้องเรียนโมโหกว่าเดิม เพราะสิ่งที่เขามาบอกไม่ได้รับการสนใจ และปลายทางในยุคนี้ก็คือพันทิป…

ใช้จำนวนตัวอักษรในข้อความไม่เกิน 80 ตัวอักษร (สำหรับฝรั่งล่ะนะ)

ข้อนี้ต้องบอกว่าจะใช้กับ Page ของคนไทยไม่ได้เลยทีเดียว เนื่องจากว่าภาษาไทยของเรามีทั้งพยัญชนะ, สระ, ตัวอักษรต่างๆ ซึ่งการประกอบรวมเป็นคำก็ใช้ปริมาณที่เยอะพอสมควรและเกิน 80 แน่ๆ

สิ่งที่สามารถแนะนำได้คือพิมพ์เนื้อหาที่ไม่เยิ่นเย้อ น้ำนองเต็มตลิ่งจนเกินไป ให้ผู้อ่านสามารถที่จะเข้าใจเจตนาของเจ้าของ Page ว่าต้องการสื่อสารอะไรได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง

สร้างคนที่จะมาติดตาม Facebook ของคุณด้วยเนื้อหาที่ดี, ใช้การเผยแพร่แบบพื้นฐานเป็นหลัก (Organically) พร้อมอัด Facebook Ads ไปด้วย

การทำให้คนมาติดตามหน้า Page ของคุณได้ด้วยพื้นฐานแล้วก็คือการบอกต่อ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน, แฟน ทั้งด้วยการพูด หรือการกระจายผ่านทางช่องทางอย่างอีเมล, ทาง Facebook หน้า Profile, หน้าเว็บไซต์ของคุณ แต่ทั้งหมดนี้จะเป็นแค่เพียงตัวเลขลอยๆ เท่านั้น หากคุณไม่มีความต่อเนื่องในการทำอะไรบางอย่างบนหน้า Facebook Page ของคุณอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อหาหรือ Content ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง, การมีกิจกรรมสำหรับคนที่เป็น Fan ของ Page เราเท่านั้นด้วยการสื่อสารจากช่องทางอื่นแล้วดึงคนเข้ามาหา เป็นต้น

ถามว่าเราควรซื้อ Like ในช่วงเริ่มต้นไหม ในเนื้อหา infographic อาจจะบอกว่าไม่ควร แต่สำหรับผมแล้วตอนนี้ต้องปรับมาเป็น การระดมลงโฆษณาเพิ่มเติมในช่วงที่เริ่มต้นสร้าง Page ครับ ซึ่งไม่ใช่การใช้ศาสตร์มืดซื้อ Like สร้างบัญชีปลอมๆ มากด Like เรา (ผมเคยเกริ่นไปในบทความนี้ไปแล้วและขอแสดงจุดยืนว่าไม่สนับสนุนให้ใครทำทั้งนั้น แต่ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านนะครับ ห้ามกันไม่ได้) โดยการโฆษณาในช่วงแรกๆ นั้นจะต้องทำควบคู่กับการสร้างเนื้อหาที่ดีไปพร้อมกันด้วย เพื่อให้คนที่เห็นโฆษณาเมื่อคลิกเข้ามาชมแล้วเห็นว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจสำหรับเขา และน่าจะเป็นคนที่มากด Like เพื่อติดตามคุณได้นั่นเอง

ตั้งคำถาม + โพสต์ข้อความที่จะให้คนมาตอบ (หลอกล่อนั่นเอง)

โดยปกติแล้วถ้ามีคำถามอยู่ภายในเนื้อหาของการโพสต์แล้ว โดยส่วนใหญ่จะมีคนเข้ามาตอบ ซึ่งก็เหมือนกับการกระตุ้นให้คนคิดและพิมพ์ และก็ต้องคิดว่าคนที่จะพิมพ์ตอบไปนั้นก็คือคนที่สนใจเนื้อหาหรือตัว Page ของเราอยู่แล้วเป็นทุนเดิม โดยที่กลุ่มคนเหล่านี้เกิดขึ้นจากการสร้างแบบ Organically นั่นเอง

นอกจากนั้นแล้วมีข้อมูลของ Salesforce Buddy Media บอกว่า การทิ้งคำถามไว้ท้ายของเนื้อหานั้น จะช่วยให้มี Interaction Rate โดยรวมมากขึ้น 15% รวมทั้งมีการ Comment มากขึ้นถึง 2 เท่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาของเราคืออะไรด้วยนะครับ ตัวเลขนี้เป็นแค่การอ้างอิง

โพสต์เนื้อหาด้วยจำนวนโพสต์ที่เหมาะสม

ตัวเลขความเหมาะสมนั้นก็ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนครับ เพราะแต่ละเพจมีเนื้อหาในการนำเสนอที่แตกต่างกัน แต่เหตุผลหลักๆ นั้นหากมีจำนวนน้อยเกินไป ก็จะทำให้ดูเหมือนว่าคนดูแลละเลย แต่ถ้าหากมีมากเกินไปต่อวัน ก็อาจทำให้คนที่เข้ามาอ่านนั้นรำคาญจนเป็นสาเหตุทำให้กด unlike ไปเลยก็ได้

จำนวนโพสต์ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาก็อยู่ที่วันละ 1-2 ครั้ง

ทั้งหมดนี่ก็คือสิ่งที่ควรและไม่ควรทำเมื่อทำ Facebook Marketing แต่ถ้าถามผมว่ามันมีมากกว่านี้ไหม? ผมตอบได้เลยครับมีมากกว่านี้เยอะครับ เพราะบนโลกดิจิตอลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเราเองก็ต้องคอยดูรอบตัวไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งของเราหรือว่า Trend ที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์เพื่อที่จะได้ปรับตัวในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ แต่เบื้องต้นแล้ว นี่คือสิ่งแรกๆ ที่ควรระลึกถึงเอาไว้เสมอ อาจจะไม่ต้องทำตามหรือต้องเป็นตัวเลขเป๊ะๆ ก็ได้ เพราะองค์ประกอบและปัจจัยรวมถึงวัตถุประสงค์ของแต่ละแบรนด์นั้นไม่เหมือนกันครับ

ที่มา: Vertical Response