Site icon Thumbsup

เซเลบฯเซ็ง ยอด follower บน Twitter หดหลายแสน

46893815 - krivoy rog, ukraine - october 20, 2015: iphone 5s with twitter app on wooden background. twitter is an online social networking and microblogging service that enables users to send and read "tweets", limited to 140 characters.

วันนี้เซเลบริตี้ผู้มีชื่อเสียงบนเครือข่ายสังคม Twitter กำลังพบภาวะผู้ติดตามหรือ follower ลดลงชัดเจน ผลจากการทยอยลบบัญชีปลอมครั้งใหญ่ ความคืบหน้าล่าสุดคือ @realDonaldTrump มียอดผู้ติดตามลดลง 1 แสนราย ไม่เว้นแม้แต่ @BarackObama ที่ยอดหดหายไป 4 แสนราย

ปรากฏการณ์ยอด follower ของผู้ใช้ Twitter ลดลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการประกาศเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา เวลานั้นซีอีโอ Twitter ย้ำว่ากำลังลบบัญชี Twitter ที่ถูกล็อกหรือจำกัดการใช้งานเมื่อระบบพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย ผลจากการลบครั้งนี้จะทำให้ผู้ติดตามของหลายบัญชีบน Twitter ลดลง โดยนอกจากแถลงการณ์ของซีอีโอ Jack Dorsey บริษัทเครือข่ายสังคมยังประเมินว่าผู้ใช้ทั่วไปจะได้รับผลกระทบจากการลบครั้งนี้ไม่มาก คาดว่าเฉลี่ยแล้วแต่ละคนจะพบว่าจำนวนผู้ติดตามลดลงราว 4 รายหรือน้อยกว่านั้น

แต่สำหรับผู้ใช้กลุ่มเซเลบฯ Twitter ย้ำว่าแม้จะไม่ได้ควักเงินซื้อผู้ติดตามปลอม แต่ผู้มีชื่อเสียงบางรายอาจได้รับผลกระทบเรื่องยอดผู้ติดตามบน Twitter นั้นลดลงชัดเจน การประกาศนี้ถือเป็นการปกป้อง ไม่ให้โลกเข้าใจว่าผู้ที่ยอดติดตามหดหายนั้นควักเงินซื้อ follower

ล่าสุดมีรายงานว่า @realDonaldTrump บัญชีของประธานาธิบดีสหรัฐฯมียอดผู้ติดตามลดลง 1 แสนราย ขณะที่อดีตอย่าง @BarackObama มียอดหดหายไป 4 แสนราย

ทั้ง 2 บัญชีไม่ได้ถูกตีตราว่าซื้อ follower แต่เซเลบฯอย่าง Ray Lewis ที่พบว่าผู้ติดตามลดลงจาก 712,200 รายเหลือ 364,700 ราย ชาวโซเชียลเชื่อว่า Ray Lewis อาจซื้อผู้ติดตามมาเพราะสัดส่วนผู้ใช้ที่หดหายไปราว 50%

สิ่งที่เราสรุปได้จากข่าวนี้ คือ Twitter อาจกำลังจัดระเบียบเพื่อปูทางสู่อนาคต ที่ผ่านมา Twitter ถูกมองว่าตัวเลขฐานผู้ใช้หลายร้อยล้านรายนี้เป็น bot หรือบัญชีปลอมที่ไร้ตัวตนไม่น้อย มุมมองนี้ทำให้นักการตลาดมองว่าการประเมินเซเลบฯ ที่มีอิทธิพลบน Twitter นั้น ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งก่อนหน้านี้ นักการตลาดของหลายบริษัทเคยเรียกร้องให้ Twitter แก้ปัญหา fake accounts เสียที

แม้ Twitter จะไม่เปิดเผยว่าจำนวนบัญชีปลอมวันนี้มีจำนวนเท่าใด แต่บริษัทวิจัยเชื่อว่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 70 ล้านราย.

ที่มา: : PRDaily