Site icon Thumbsup

กลุ่มทนายมะกัน ร้อง Google เร่งจัดระเบียบ เกรง “โฆษณายา” ทำพิษ

apple-stock-drugs
กลุ่มทนายความแห่งชาติอเมริกันรวมตัวเรียกร้องให้ Google จัดระเบียบการลง “โฆษณายา” บนเครือข่ายโฆษณาออนไลน์ของ Google เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการส่งเสริมการค้ายาอันตราย (แต่ถูกกฏหมาย) บนอินเทอร์เน็ต ถือเป็นอีกปัญหาใหม่ที่ใหญ่และอาจส่งผลต่อเครือข่ายโฆษณาออนไลน์อื่นๆ ในอนาคต

อัยการสูงสุดรัฐมิสซิสซิปปี้อย่าง Jim Hood ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานสมาคม National Association of Attorneys General ของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่ายักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Google และบริการแชร์วิดีโอออนไลน์อย่าง YouTube มีการเปิดให้ลงโฆษณายารักษาโรคที่ผิดกฏหมาย รวมถึงยาอันตรายที่แพทย์ต้องสั่งเท่านั้น โดยโฆษณาเหล่านี้เป็นช่องทางที่ทำให้ชาวออนไลน์สั่งซื้อยาได้ทั้งที่ไม่มีใบสั่งจากแพทย์

ทีมกฏหมายของสหรัฐฯ ต้องการป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีช่องทางสั่งซื้อยาจากแพทย์โดยไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม Google พยายามชี้แจงว่า Google ได้ลงมือแก้ไขปัญหานี้แล้วอย่างจริงจัง

Google ออกแถลงการณ์ว่าไม่ได้นิ่งดูดายต่อปัญหาที่เกิดขึ้น โดยย้ำว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างจริงจัง จุดนี้ Google ระบุว่าตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Google ได้ลบโฆษณายาผิดกฏหมายมากกว่า 3 ล้านชิ้น และมีการตรวจตราวิดีโอที่เข้าข่ายละเมิดกฏที่กำหนดไว้ใน YouTube

Google ระบุว่ากฏหรือ Guidelines ที่มีการบังคับใช้ใน YouTube นั้นครอบคลุมเนื้อหาที่เกี่ยวกับความอันตรายและสิ่งของผิดกฏหมายทุกชนิด ซึ่งแสดงว่า Google ได้พยายามป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างสุดความสามารถแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ Google เคยถูกปรับเงินก้อนใหญ่เนื่องจากปัญหาโฆษณายาอันตราย โดยหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ลงโทษปรับเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกับสั่งให้ Google งดแสดงโฆษณายาจากบริษัทสัญชาติแคนาเดียน ซึ่งเป็นยาที่ต้องมีการควบคุมเคร่งครัด

กรณีปัญหาที่ Google พบ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เครือข่ายโฆษณาออนไลน์ค่ายอื่นต้องตรวจสอบอย่างจริงจังมากขึ้น ในบ้านเรา กองบก. thumbsup ลองค้นหาดูแล้วคิดว่าทาง Google Thailand น่าจะกันไว้ระดับหนึ่งแล้วครับ เวลาค้นหายา ไม่มีโฆษณาขึ้นมาเลย ในอีกมุมหนึ่ง (หรือว่าบ้านเราไม่ค่อยมีคนขายยาออนไลน์?) จะว่าไปองค์กรราชการในบ้านเราก็น่าจะคอยตรวจตราดูแลเรื่องนี้ด้วยนะครับ เพราะถ้าเกิดขึ้นจริงๆ ในบ้านเราก็น่ากลัวเหมือนกัน

ที่มา: VentureBeat