Longetivity

ในยุคที่ทุกบทสนทนาในวงการธุรกิจและเทคโนโลยีดูเหมือนจะเริ่มต้นและจบลงที่คำว่า “Artificial Intelligence” (AI) เราต่างตื่นเต้นกับศักยภาพของ ChatGPT, Generative AI และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่กำลังพลิกโฉมการทำงานของเรา จนแทบจะเรียกได้ว่า AI คือ “คลื่นยักษ์” ที่ทุกคนต้องขี่ให้ทัน

แต่ในขณะที่สปอตไลต์ส่วนใหญ่ฉายไปที่ AI… มี “คลื่นใต้น้ำ” ลูกมหึมาอีกลูกหนึ่งที่กำลังก่อตัวอย่างเงียบเชียบ ทรงพลัง และอาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือ “Longevity Economy” หรือ “เศรษฐกิจอายุวัฒน์”

ล่าสุด UBS สถาบันการเงินระดับโลก ได้ออกมาประเมินการณ์ที่น่าทึ่งว่า ภายในปี 2030 หรืออีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า มูลค่าการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ “Longevity” ทั่วโลกจะพุ่งสูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี!

ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของ “สังคมผู้สูงวัย” ที่เราพูดกันจนคุ้นชิน แต่เป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เกิดจาก 3 ปัจจัยหลักคือ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ที่ทำให้เรามี ช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดียาวนานขึ้น, โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง และ พฤติกรรมผู้บริโภค ที่หันมาให้ความสำคัญกับการมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ

สำหรับคนในวงการอย่างพวกเรา นี่คือสัญญาณเตือนว่า “โอกาสทางธุรกิจ” ระลอกใหม่กำลังจะมา และมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอุตสาหกรรมสุขภาพ แต่กำลังจะแผ่ขยายไปในทุกเซกเตอร์ที่เราสัมผัส

Longetivity

ภาพจาก pakutaso

ทำความเข้าใจ “Longevity Economy” มากกว่าแค่ “ตลาดคนแก่”

เมื่อพูดถึง “Longevity” หลายคนอาจนึกถึงภาพธุรกิจบ้านพักคนชรา หรือผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง UBS นิยามเทรนด์นี้กว้างและลึกกว่านั้นมาก มันคือหนึ่งใน “Transformational Innovation Opportunities (TRIOs)” หรือโอกาสการลงทุนแห่งอนาคตที่จะขับเคลื่อนตลาดทุนในทศวรรษหน้า เทียบชั้นได้กับ AI เลยทีเดียว

แกนหลักของ Longevity Economy ไม่ใช่แค่การ “มีชีวิตอยู่” แต่คือการ “มีชีวิตที่ดี” แม้จะอายุมากขึ้นก็ตาม แนวคิดพื้นฐานคือ เมื่อมนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้น คลื่นแห่งโอกาสการลงทุนและการบริโภคระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นตามมา

หาก AI คือการปฏิวัติ “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) Longevity ก็คือการปฏิวัติ “ประสบการณ์ชีวิต” (Life Experience)

UBS มองว่า “Healthcare” หรืออุตสาหกรรมสุขภาพ คือหัวใจหลักที่จะได้รับอานิสงส์นี้เต็ม ๆ โดยคาดว่าโอกาสทางการตลาดของภาคส่วนสุขภาพทั่วโลกอาจสูงถึง 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 ซึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรา เช่น อัลไซเมอร์, โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งวิทยา (Oncology)

แต่จุดที่น่าสนใจและกำลังเป็น “Talk of the town” ในวงการแพทย์ทั่วโลก คือการต่อสู้กับ “โรคอ้วน” (Obesity) ซึ่งเป็นวิกฤตสุขภาพระดับโลก ตลาดสำหรับโรคเมตาบอลิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะยากลุ่ม GLP-1 (เช่น Ozempic หรือ Wegovy) ที่ไม่ใช่แค่ใช้รักษาเบาหวานอีกต่อไป แต่กลายเป็น “Game Changer” ในการลดน้ำหนัก จนคาดว่ายอดขายต่อปีของยาในกลุ่มนี้เพียงกลุ่มเดียว อาจแตะ 2 แสนล้านดอลลาร์ในไม่ช้า

ความก้าวหน้าเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยลดโรคภัยไข้เจ็บ แต่ยังขยาย “Healthspan” ทำให้คนในวัย 60, 70 หรือ 80 ยังคงมีพลังในการใช้ชีวิต ทำงาน ท่องเที่ยว และบริโภคไม่ต่างจากคนวัยหนุ่มสาว

The Ripple Effect เมื่อ 8 ล้านล้านเหรียญ ไม่ได้อยู่แค่ในโรงพยาบาล

และนี่คือประเด็นสำคัญที่นักการตลาดอย่างเราต้อง “ขีดเส้นใต้” สองเส้น พลังขับเคลื่อน 8 ล้านล้านดอลลาร์นี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ประตูโรงพยาบาลหรือคลินิก แต่กำลังสร้างแรงกระเพื่อม (Ripple Effect) ไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างมหาศาล

เมื่อผู้คนมีสุขภาพดีและมีกำลังซื้อในวัยที่สูงขึ้น พวกเขาก็พร้อมที่จะ “จ่าย” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติ UBS ชี้ให้เห็นว่าเซกเตอร์อื่น ๆ ที่จะ “Boom” ตามมา ได้แก่

  1. อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods)
    • โภชนาการ (Nutrition): ตลาดอาหารเสริม, Functional Food, Plant-based Protein หรือแม้แต่อาหารที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล (Personalized Nutrition) จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด
    • เครื่องสำอาง (Cosmetics): ตลาด “Anti-Aging” จะเปลี่ยนเป็น “Pro-Aging” หรือ “Healthy Aging” ผลิตภัณฑ์ที่เน้นการบำรุงลึกถึงระดับเซลล์ หรือนวัตกรรมที่ช่วยให้ดู “สดใสสมวัย” ไม่ใช่แค่ “ปกปิดริ้วรอย” จะกลายเป็นดาวเด่น
  2. การท่องเที่ยวและสันทนาการ (Tourism & Leisure)
    • เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) จะไม่ใช่แค่ Niche Market อีกต่อไป การเดินทางที่ผสมผสานการพักผ่อน, การเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ และการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพ จะเป็นที่ต้องการสูง
  3. ภาคการเงิน (Financial Sector)
    • เมื่อคนอายุยืนขึ้น การวางแผนการเงินหลังเกษียณ (Retirement Planning) จะซับซ้อนขึ้น ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน, กองทุน และประกันชีวิตที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ “ชีวิต 100 ปี” จะมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
  4. อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
    • ตลาดต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ “Active Aging” ไม่ใช่ “Nursing Home” แบบเดิมๆ แต่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน, มีบริการทางการแพทย์ และมีสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการใช้ชีวิต (Universal Design, Smart Home for Health Monitoring)

ทำไมต้องพูดถึง “ตอนนี้”?

คำถามสำคัญคือ “ทำไม UBS ถึงหยิบเรื่องนี้มาพูดตอนนี้?” ในเมื่อเทรนด์ AI กำลังดังเป็นพลุแตก

คำตอบอยู่ในมุมมองของ “นักลงทุน” ที่มักจะมองหา “โอกาสที่ยังถูกประเมินค่าต่ำ” (Undervalued)

UBS วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันนักลงทุนยังโฟกัสไปที่ AI มากเกินไป จนทำให้ภาคส่วน Healthcare และ Longevity ถูก “ลดความสำคัญ” ลงไป ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา ตลาดนี้เผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการเมือง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มีความพยายามในการควบคุม “ราคายา” (Drug Policy) และประเด็นเรื่อง “ภาษีนำเข้า” (Tariffs)

ปัจจัยลบเหล่านี้ “บดบัง” ศักยภาพการเติบโตที่แท้จริงของอุตสาหกรรม และกดดันราคาหุ้นในกลุ่มนี้ให้ซื้อขายในระดับที่ “ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น” (Significant Discount)

แต่ UBS กลับมองว่านี่คือ “จังหวะที่ดี” ในการกลับมาทบทวนธีม Longevity

พวกเขาเชื่อว่าแรงกดดันด้านกฎระเบียบเหล่านี้ใกล้จะได้ข้อสรุป แม้ว่าบริษัทต่าง ๆ อาจจะต้อง “ยอม” ลดราคายาลงบ้าง ซึ่งอาจดูเป็นผลลบต่อบริษัท แต่ในภาพรวมของ “อุตสาหกรรม” การมี “ข้อตกลงที่ชัดเจน” จะช่วยขจัดความไม่แน่นอน (Clarity and Visibility) ที่เคยกดดันตลาดออกไป และเมื่อนั้น นักลงทุนจะกลับมามองเห็น “มูลค่าที่แท้จริง” ของตลาด 8 ล้านล้านดอลลาร์นี้อีกครั้ง

นี่คือสัญญาณที่บอกว่า “คลื่นกำลังจะกลับทิศ” (Trend Reversal)

Thumbsup มองว่า เรื่องราวจาก UBS ไม่ใช่แค่บทวิเคราะห์การลงทุน แต่เป็น “Strategic Brief” ชั้นดีสำหรับคนทำธุรกิจและนักการตลาด

ในขณะที่ทุกคนกำลังวิ่งไล่ตาม “AI” ซึ่งเป็นเรื่องของ “ความเร็วและประสิทธิภาพ” เราอาจกำลังละเลย “Longevity” ซึ่งเป็นเรื่องของ “ความลึกและโครงสร้างประชากร” ไป

บทเรียนที่เราถอดรหัสได้จากเรื่องนี้ คือ

  1. อย่ามองข้ามขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ (The Hidden Giant): ตลาด AI อาจสร้างความตื่นเต้น แต่ตลาด Longevity คือ “ของจริง” ที่ขับเคลื่อนด้วยประชากรศาสตร์ (Demographics) ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้แม่นยำกว่าเทคโนโลยีเสียอีก มูลค่า 8 ล้านล้านดอลลาร์ คือ “Blue Ocean” ที่ใหญ่เกินกว่าจะมองข้าม
  2. เปลี่ยนวิธีคิดเรื่อง “ผู้สูงวัย”: ภาพจำของคนแก่ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องถูกลบทิ้งไป กลุ่มผู้บริโภคใหม่คือ “Active Agers” หรือ “Gen Horizon” (กลุ่มคนวัย 45+ ที่มีกำลังซื้อสูง) พวกเขาไม่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ “ตอกย้ำความชรา” แต่ต้องการ “โซลูชัน” ที่ช่วยให้พวกเขายังคงใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ มีความหมาย และมีสุขภาพดี
  3. “Healthspan” คือ Keyword ใหม่: การตลาดในยุคหน้าจะไม่ใช่แค่การขาย “ความงาม” (Beauty) หรือ “ความสะดวกสบาย” (Comfort) แต่คือการขาย “Healthspan” หรือ “ช่วงชีวิตที่สุขภาพดี” แบรนด์ที่สามารถเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเข้ากับการมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพได้ จะกลายเป็นผู้ชนะในทศวรรษหน้า
  4. จังหวะคือทุกสิ่ง (Timing is Everything): มุมมองของ UBS ที่ว่าตลาดนี้กำลัง “Undervalued” เพราะถูกบดบังด้วย “Noise” ทางการเมือง บอกเราว่า “ตอนนี้” คือเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มศึกษา วางแผน และสร้างกลยุทธ์เพื่อเจาะตลาดนี้ ก่อนที่มันจะกลายเป็น “Red Ocean” ที่ทุกคนกระโดดเข้ามาแย่งชิง

โอกาสที่พลิกโฉมวงการในราคาที่น่าดึงดูดนั้นหาได้ยาก แม้ในชีวิตที่กำลังจะยืนยาวขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม… นี่คือประโยคทองที่ UBS ทิ้งท้ายไว้ และมันก็เป็นความจริงสำหรับโลกการตลาดเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: