ในสมรภูมิ Wearable Device ที่หลายคนมองว่า “อิ่มตัว” หรือถูกยึดครองโดยยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Samsung ไปแล้ว แต่ถ้าใครติดตามวงการนี้ลึก ๆ จะรู้ว่ายังมีผู้เล่นรายหนึ่งที่ยืนหยัดด้วยจุดยืนที่แข็งแกร่งและแตกต่างอย่างชัดเจน นั่นคือ “Whoop” สายรัดข้อมือฟิตเนสแบบไร้หน้าจอ ที่เหล่าโปรนักกีฬาและผู้บริหารระดับสูงทั่วโลกเลือกใช้
ล่าสุด Will Ahmed ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Whoop ได้ออกมาเปิดเผย Roadmap ที่น่าตื่นเต้นว่า บริษัทกำลังพิจารณาที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ ข่าวนี้ไม่ได้น่าสนใจแค่เรื่องตัวเลขทางการเงิน แต่สิ่งที่น่าจับตามองคือ “วิสัยทัศน์” ที่กำลังจะเปลี่ยนจากแค่ Gadget เก็บข้อมูล เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มสุขภาพระดับโลก
วันนี้ Thumbsup จะพาไปแกะรอยกลยุทธ์ของ Whoop ว่าทำไมพวกเขาถึงกล้าเดิมพันในเวลานี้ และอะไรคืออาวุธลับที่จะใช้สู้ในสงครามสุขภาพที่ดุเดือดเลือดพล่านกว่าเดิม
![]()
จาก Niche Market สู่ Mass Adoption และเป้าหมาย IPO
Will Ahmed กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมมองกรอบเวลาไว้ที่ประมาณ 2 ปี” สำหรับการนำ Whoop เข้าสู่ตลาดหุ้น แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยเปรยเรื่องนี้ไว้บ้าง แต่ครั้งนี้ถือเป็นไทม์ไลน์ที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา
คำถามคือ ทำไมต้องตอนนี้?
คำตอบอยู่ที่ความพร้อมของ Portfolio ที่ไม่ได้มีแค่สายรัดข้อมืออีกต่อไป วันนี้ Whoop ขยายอาณาจักรครอบคลุมทั้งเทคโนโลยี Proprietary เฉพาะตัว, ฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, ระบบ Analytics ไปจนถึงสินค้าแฟชั่นอย่างเสื้อผ้าและอุปกรณ์เสริม นี่คือการส่งสัญญาณให้นักลงทุนเห็นว่า พวกเขาไม่ใช่แค่บริษัทขาย Gadget ชิ้นเดียว แต่เป็น Lifestyle Brand ที่ครบวงจร
“เราชอบที่จะสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง และเราต้องการสร้าง Home of Health ให้กับสมาชิกของเรา” Ahmed กล่าวประโยคหนึ่งที่น่าคิดตามมาก ๆ ว่า “ถ้าคุณลองถามตัวเองว่า บริษัทมหาชนรายไหนในปัจจุบันที่เป็นเจ้าของคำว่า ‘Personal Health’ อย่างแท้จริง? นึกไม่ออกใช่ไหมครับ มันดูเหมือนพื้นที่ว่างเปล่า ทั้งที่จริง ๆ แล้วควรจะมีบริษัทยักษ์ใหญ่สักแห่งที่เป็นเจ้าของพื้นที่นี้”
นี่คือ Ambition ที่ยิ่งใหญ่มาก คือการประกาศตัวว่า Whoop ต้องการเป็นชื่อแรกที่คนทั่วโลกนึกถึงเมื่อพูดถึง Data สุขภาพ ไม่ต่างจากที่ Google เป็นเจ้าของคำว่า Search
Business Model ที่ฉีกกฎ เมื่อ Hardware คือของแถม
ความกล้าหาญที่สุดของ Whoop คือโมเดลธุรกิจที่แตกต่างจากคู่แข่งอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ Oura Ring (แหวนอัจฉริยะคู่แข่งสำคัญ) เก็บค่าสมาชิกรายเดือนบวกกับค่าแหวนเริ่มต้นที่ $349 หรือ Apple Watch ที่เน้นขายเครื่อง แต่ Whoop เลือกเดินเกม “Subscription-Only”
ลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าอุปกรณ์ล่วงหน้า แต่ต้องสมัครสมาชิกรายปี (ราคาสูงถึง $359 หรือประมาณ 12,000 บาทต่อปี) โดยจะได้ฮาร์ดแวร์ไปใช้ฟรี ๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณยกเลิกสมาชิก อุปกรณ์นั้นจะกลายเป็นที่ทับกระดาษทันที ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป
โมเดลนี้สะท้อนความมั่นใจใน Retention Rate อย่างมหาศาล มันคือการบอกว่า “คุณจะขาด Data ของเราไม่ได้” และดูเหมือนมันจะได้ผล เพราะยอดสมาชิกเติบโตถึง 20 เท่านับตั้งแต่ปี 2020 และเพิ่มขึ้นอีก 75% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากเดิมที่เน้นกลุ่มนักกีฬา Elite ปัจจุบันฐานลูกค้าขยายไปสู่คนทั่วไปที่ต้องการ Insight ด้านสุขภาพเชิงลึก โดยเฉพาะตลาดนอกสหรัฐฯ ที่เติบโตจนสัดส่วนรายได้แตะ 60% แล้ว
สงคราม “Medical Grade” และเดิมพันเรื่อง “น้ำตาล”
ถ้าการ IPO คือเป้าหมายทางธุรกิจ “Medical Grade” คือเป้าหมายทางโปรดักต์
Whoop รุ่นล่าสุด (Whoop MG) เริ่มขยับเข้าสู่ความเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์มากขึ้น ด้วยฟีเจอร์วัดความดันโลหิต, คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG), การตรวจจับภาวะหัวใจเต้นพริ้ว (Atrial Fibrillation) ไปจนถึงฟีเจอร์ Healthspan ที่พยายามคำนวณอายุทางชีวภาพ (Biological Age) ของผู้สวมใส่
แต่เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ล่าสุด Whoop กำลังเผชิญแรงเสียดทานจาก FDA (อย. สหรัฐฯ) เกี่ยวกับฟีเจอร์วัดความดันโลหิต ซึ่ง FDA มองว่า Whoop ยังไม่มีใบรับรองที่ถูกต้องสำหรับการให้คำแนะนำทางการแพทย์ แต่ Ahmed ยืนยันว่าการเจรจากับ FDA เป็นไปในทิศทางที่ “สร้างสรรค์” และพวกเขายังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันฟีเจอร์นี้ต่อไปโดยไม่ถอดออกจากระบบ
และไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดคือ “การวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบไม่ต้องเจาะเลือด” (Non-invasive glucose monitoring) นี่คือ Holy Grail หรือจอกศักดิ์สิทธิ์ของวงการ Health Tech ที่ทั้ง Apple และ Samsung พยายามทำมาหลายปีแต่ยังไม่สำเร็จ
Ahmed เปิดเผยว่า Whoop กำลังสำรวจฟีเจอร์นี้อย่างจริงจัง โดยแบ่งเป็น 2 เฟส
- Integration: ดึงข้อมูลจากเครื่องวัดระดับน้ำตาลภายนอก (เช่น Dexcom หรือ Abbott) เข้ามาประมวลผลร่วมกับ Data ของ Whoop
- Innovation: พัฒนาวิธีเก็บข้อมูลแบบ Non-invasive ด้วยตัวเอง ซึ่ง Ahmed เชื่อว่าข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์จะถูกทำลายเร็วกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด
AI และอนาคตของ “Health Operating System”
สิ่งที่ทำให้ Whoop น่ากลัวกว่าคู่แข่งอาจไม่ใช่แค่ Hardware แต่คือ Data และ AI
Whoop กำลังเทรนโมเดล AI ของตัวเองเพื่อยกระดับแพลตฟอร์มให้เป็น “Health Operating System” โดยเปรียบเทียบการทำงานของ AI ภาษา (LLM) ที่เดาคำถัดไปในประโยค แต่สำหรับ Whoop AI จะทำหน้าที่ “เดาสุขภาพถัดไปของคุณ”
ลองจินตนาการถึงโลกที่สายรัดข้อมือของคุณไม่ได้แค่บอกว่าเมื่อคืนนอนหลับดีไหม แต่สามารถทำนายความเสี่ยงของอาการหัวใจวาย หรือสโตรก (Stroke) ได้ล่วงหน้าจากการวิเคราะห์ Pattern ของร่างกาย นี่คือสิ่งที่ Whoop กำลังมุ่งไป และภายในไตรมาสแรกของปี 2026 พวกเขาจะเพิ่มฟีเจอร์วิเคราะห์ผลเลือด (Bloodwork integration) เพื่อดูค่า Biomarker ต่าง ๆ ทั้งฮอร์โมนและระบบเผาผลาญ
Thumbsup มองว่า การขยับตัวเข้าสู่ IPO ของ Whoop เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า เทรนด์ Personalized Health กำลังจะก้าวไปอีกขั้น จากยุค “Quantified Self” (วัดค่าต่าง ๆ ของร่างกาย) เข้าสู่ยุค “Predictive Health” (ทำนายและป้องกัน)
ความท้าทายของ Whoop คือการรักษา Momentum การเติบโตในขณะที่ต้องสู้รบกับกฎระเบียบทางการแพทย์ และคู่แข่งระดับ Global Tech Giant แต่ด้วยจุดยืนที่ชัดเจนว่าเป็นแบรนด์สำหรับคนที่ “จริงจัง” กับสุขภาพ และโมเดลรายได้แบบ Recurring Revenue ที่แข็งแกร่ง ทำให้ Whoop เป็นหุ้นเทคโนโลยีสุขภาพที่น่าจับตามองที่สุดตัวหนึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้า
สำหรับนักการตลาด บทเรียนจาก Whoop คือการสร้าง Product Value จนลูกค้าพร้อมจะจ่ายค่าสมาชิก “แพงกว่า” คู่แข่งโดยไม่บ่น และการกล้าที่จะเป็น Specialist ในโลกที่ทุกคนพยายามเป็น Generalist
อ้างอิง: Bloomberg
อ่านเพิ่มเติม

