สิ้นสุดการรอคอยจริง ๆ สำหรับการกลับมาของโครงการเรือธงที่เคยสร้างปรากฏการณ์มาแล้วทั่วประเทศอย่าง “คนละครึ่ง” ซึ่งครั้งนี้กลับมาในชื่อใหม่ที่น่าสนใจกว่าเดิมว่า “คนละครึ่ง พลัส” หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นการส่งสัญญาณบวกครั้งสำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
ในมุมของคนทำงานด้านการตลาดและเทคโนโลยี เราไม่ได้มองว่านี่เป็นเพียงนโยบายช่วยเหลือค่าครองชีพเท่านั้น แต่มันคือ “แคมเปญการตลาดระดับมหภาค” ที่ภาครัฐเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุด โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง ผ่านกลไกที่พิสูจน์แล้วว่าเวิร์กจริง และในเวอร์ชัน “พลัส” นี้ ก็มีรายละเอียดที่ซับซ้อนและน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์ ร้านค้า และนักการตลาดต้องทำความเข้าใจเพื่อปรับกลยุทธ์รับมือกับคลื่นกำลังซื้อมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้น
วันนี้ Thumbsup จะพาไปเจาะลึกทุกมิติของ “คนละครึ่ง พลัส” ตั้งแต่เงื่อนไขพื้นฐานไปจนถึงการวิเคราะห์ในเชิงลึกว่า โครงการนี้จะส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์การตลาดดิจิทัลและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไรบ้าง

อัปเกรดความปัง! อะไรคือ “พลัส” ในคนละครึ่งรอบใหม่?
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดและเป็นที่มาของชื่อ “พลัส” ในครั้งนี้ คือการแบ่งกลุ่มผู้ได้รับสิทธิออกเป็น 2 ระดับ โดยใช้ “ข้อมูลการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ที่น่าสนใจ
- กลุ่มผู้ยื่นแบบภาษี: จะได้รับสิทธิค่าใช้จ่ายรวม 2,400 บาทต่อคน
- กลุ่มผู้ไม่ยื่นแบบภาษี: จะได้รับสิทธิค่าใช้จ่ายรวม 2,000 บาทต่อคน
นี่ไม่ใช่แค่การให้เงิน แต่เป็นการทำ Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด) โดยใช้ดาต้าของภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดการออกแบบนโยบายที่ลึกซึ้งขึ้น อาจมองได้ว่าเป็นการให้ “รางวัล” หรือ “สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม” สำหรับพลเมืองที่อยู่ในระบบภาษี ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจในการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าสู่ระบบมากขึ้นในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม กลไกหลักของโครงการยังคงคอนเซ็ปต์เดิมที่สร้างความสำเร็จอย่างท่วมท้น นั่นคือ รัฐช่วยจ่าย 50% และผู้ได้รับสิทธิจ่ายเอง 50% โดยจำกัดสิทธิที่รัฐจะช่วยจ่ายสูงสุดไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน เหมือนเป็นการสร้างเงื่อนไขที่กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาโครงการ แทนที่จะใช้หมดในครั้งเดียว
ไทม์ไลน์และเงื่อนไขสำคัญที่ต้องปักหมุด
เพื่อให้ไม่พลาดโอกาสสำคัญนี้ เราสรุปไทม์ไลน์และเงื่อนไขหลักๆ มาให้แบบเข้าใจง่ายที่สุด
- ระยะเวลาโครงการโดยรวม: 15 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568
- จำนวนสิทธิ: ประมาณ 20 ล้านสิทธิ
- งบประมาณโครงการ: วงเงินรวมไม่เกิน 44,000 ล้านบาท
- ช่วงเวลาลงทะเบียน (สำหรับประชาชน): วันที่ 20 – 26 ตุลาคม 2568 ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เท่านั้น ในช่วงเวลา 06:00 – 22:00 น.
- ช่วงเวลาเริ่มใช้จ่าย: วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 ในช่วงเวลา 06:00 – 23:00 น.
คุณสมบัติผู้ลงทะเบียน
- มีสัญชาติไทย
- อายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
- มีบัตรประจำตัวประชาชน
- ไม่เป็น ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ไม่เป็น ผู้ที่เคยถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการหรือโครงการอื่นๆ ของรัฐ
สำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนก็ไม่ซับซ้อน โดยแบ่งตามประสบการณ์การใช้งานเดิม:
- ผู้ที่เคยเข้าร่วมคนละครึ่ง เฟส 5: สามารถกดยืนยันรับสิทธิผ่านแอปฯ เป๋าตังได้เลย
- ผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมฯ หรือไม่เคยได้สิทธิเฟส 5: ต้องทำการลงทะเบียนใหม่ผ่านแอปฯ เป๋าตัง และรอรับผลการยืนยันผ่าน SMS หรือการแจ้งเตือนในแอปฯ
มากกว่าเงินอุดหนุน แต่คือการขับเคลื่อน Digital Ecosystem
สิ่งที่ทำให้โครงการคนละครึ่งน่าสนใจในสายตาพวกเรา ไม่ใช่แค่ตัวเลขเม็ดเงินที่รัฐบาลคาดว่าจะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึง 88,000 ล้านบาท และกระตุ้น GDP ได้ราว 0.21-0.22% แต่มันคือผลกระทบในมิติอื่น ๆ ที่ลึกซึ้งกว่านั้น
- การตอกย้ำสถานะ “Super App” ของเป๋าตัง
โครงการนี้บังคับให้ผู้ใช้กว่า 20 ล้านคนต้องมีและใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” อย่างต่อเนื่อง เป็นการสร้าง Daily Active Users (DAU) และ Monthly Active Users (MAU) จำนวนมหาศาลให้กับแพลตฟอร์มของรัฐ ซึ่งทำให้ “เป๋าตัง” ไม่ใช่แค่แอปฯ สำหรับรับสวัสดิการ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่สำคัญของประเทศ เป็นประตูสู่บริการอื่น ๆ ของภาครัฐในอนาคต
- Data is the New Oil อย่างแท้จริง
ข้อมูลการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตลอดโครงการคือขุมทรัพย์มหาศาล รัฐบาลจะเห็นภาพรวมเศรษฐกิจระดับจุลภาคแบบเรียลไทม์ รู้ว่าคนใช้จ่ายที่ไหน เมื่อไหร่ กับสินค้าประเภทอะไร ร้านค้าแบบไหนได้รับความนิยม สิ่งเหล่านี้คือ Big Data ที่สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อออกแบบนโยบายทางเศรษฐกิจในอนาคตให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เร่งสปีดสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)
โครงการนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีในการผลักดันให้ทั้งผู้บริโภคและร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศต้องปรับตัวเข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล ร้านค้าหาบเร่แผงลอยที่เคยรับแต่เงินสดก็ต้องเรียนรู้การใช้แอปฯ “ถุงเงิน” เพื่อรับชำระเงิน เป็นการสร้าง Digital Literacy ในวงกว้างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
- เชื่อมต่อโลกออนไลน์และออฟไลน์ (O2O) อย่างสมบูรณ์
การที่ “คนละครึ่ง พลัส” ยังคงรองรับการใช้งานผ่าน แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี เป็นการยอมรับว่าพฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้ว การสั่งอาหารออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การเชื่อมโยงนี้ช่วยให้ร้านอาหารที่อาจไม่มีหน้าร้านที่โดดเด่นสามารถเข้าถึงกำลังซื้อจากโครงการได้เช่นกัน เป็นการขยายขอบเขตของโครงการให้ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายขึ้น
ร้านค้าและแบรนด์ต้องปรับตัวอย่างไร?
สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย นี่คือโอกาสทองที่ต้องคว้าไว้ การเข้าร่วมโครงการแทบจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายในช่วงปลายปี ส่วนแบรนด์ใหญ่ แม้จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้โดยตรง แต่ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมอย่างแน่นอน เมื่อผู้บริโภคมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นจากการประหยัดค่าอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวัน พวกเขาก็จะมีกำลังซื้อเหลือไปใช้กับสินค้าและบริการอื่นๆ มากขึ้น แบรนด์ต่าง ๆ จึงควรวางแผนแคมเปญการตลาดในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อช่วงชิงเม็ดเงินส่วนที่เหลือนี้
Thumbsup มองว่า การกลับมาของ “คนละครึ่ง พลัส” ไม่ใช่แค่การนำนโยบายเก่ามาปัดฝุ่นใหม่ แต่เป็นการอัปเกรดที่สะท้อนถึงการเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่จริง การเพิ่มเงื่อนไข “พลัส” สำหรับผู้ยื่นภาษีเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงทิศทางในอนาคตที่นโยบายภาครัฐจะมีความเฉพาะเจาะจงและอิงกับข้อมูล (Data-Driven) มากขึ้นเรื่อย ๆ
ในฐานะคนในอุตสาหกรรม เรามองว่านี่คือกรณีศึกษาขนาดใหญ่ของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับฐานราก มันสร้างผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ ทั้งการลดภาระค่าครองชีพ การเพิ่มรายได้ให้ร้านค้ารายย่อย การสร้างความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี และที่สำคัญที่สุดคือการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคจำนวนมหาศาล ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนานโยบายของประเทศในยุคดิจิทัลต่อไป ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริโภค ร้านค้า หรือนักการตลาด โครงการนี้คือคลื่นลูกใหญ่ที่คุณต้องเตรียมโต้ให้ดีในช่วงปลายปี 2568 นี้อย่างแน่นอน



