BYD

วงการรถยนต์ไฟฟ้าบ้านเราต้องลุกเป็นไฟอีกครั้ง เมื่อค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง BYD โดยบริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายอย่างเป็นทางการ ตัดสินใจเปิดเกมรุกครั้งประวัติศาสตร์ ประกาศลดราคา BYD Seal แบบฟ้าผ่าสูงสุดถึง 600,000 บาท พร้อมจัดทัพโปรโมชั่นกระหน่ำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ ในสังกัดอีกเพียบ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป (มีจำนวนจำกัด และมีแค่บางดีลเลอร์เท่านั้น)

บอกเลยว่างานนี้ไม่ใช่แค่การจัดโปรโมชั่นลดราคาธรรมดา แต่มันคือการส่งสัญญาณที่ดังและชัดเจนไปถึงคู่แข่งทุกรายในตลาดว่า “สงครามราคากำลังจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ” การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ BYD ไม่เพียงแต่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งอุตสาหกรรม แต่ยังก่อให้เกิดคำถามสำคัญต่อนักการตลาดและผู้บริโภคว่า อะไรคือเบื้องหลังของกลยุทธ์ “ทุบราคา” ครั้งนี้ และมันจะส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์ตลาด EV ของไทยในระยะยาวอย่างไร

BYD

แกะรอยลิสต์ราคาใหม่ เขย่าตลาดทุกเซกเมนต์

ก่อนจะไปวิเคราะห์กันในเชิงลึก เรามาอัปเดตตัวเลขที่ทำให้หลายคนต้องขยี้ตาซ้ำกันก่อน การปรับลดราคาครั้งนี้มีหัวหอกคือซีดานไฟฟ้าดีไซน์สปอร์ตอย่าง BYD Seal ที่ลดราคาลงมาอย่างน่าตกใจ

  • BYD Seal Dynamic RWD (61.4 kWh): จากเดิม 1,325,900 บาท เหลือเพียง 849,900 บาท (ลดลง 476,000 บาท)
  • BYD Seal Premium RWD (82.5 kWh): จากเดิม 1,449,900 บาท เหลือเพียง 899,900 บาท (ลดลง 550,000 บาท)
  • BYD Seal Performance AWD (82.5 kWh): จากเดิม 1,599,900 บาท เหลือเพียง 999,900 บาท (ลดลง 600,000 บาท)

ต้องขีดเส้นใต้ไว้เลยว่า การที่รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงในรุ่น Performance AWD ที่เคยมีราคาแตะ 1.6 ล้านบาท ถูกปรับลดลงมาเหลือไม่ถึงหนึ่งล้านบาทนั้น ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นการกดดันคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกันอย่างมหาศาล

แต่พายุไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ Seal เท่านั้น เพราะ BYD ยังจัดทัพโปรโมชั่นสำหรับรุ่นอื่นๆ ชนิดที่ว่าปิดประตูตีแมว ไม่ให้ลูกค้าหันไปมองค่ายอื่นได้ง่ายๆ

  • New BYD DOLPHIN: รุ่น Standard Range ราคาพิเศษ 499,900 บาท และ Extended Range 619,900 บาท พร้อมโปรดาวน์ต่ำเริ่มต้นเพียง 24,995 บาท
  • New BYD ATTO 3 MY24: รุ่น Premium ราคาพิเศษ 699,900 บาท และ Extended 799,900 บาท
  • BYD SEALION 7: รุ่น Premium ราคาพิเศษ 1,149,900 บาท และ AWD Performance 1,249,900 บาท
  • BYD M6: รถ MPV ไฟฟ้าเริ่มต้นที่ 799,900 บาท
  • BYD SEALION 6 DM-i (Plug-in Hybrid): เริ่มต้นที่ 899,900 บาท
  • BYD SEAL 5 DM-i (Plug-in Hybrid): ราคาพิเศษ 699,900 บาท

การปรับทัพราคาทั้งองคาพยพเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า BYD ไม่ได้ต้องการแค่ “ขาย” แต่ต้องการ “ครองตลาด” ในทุกมิติ ตั้งแต่รถยนต์ขนาดเล็กไปจนถึงรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่

วิเคราะห์เบื้องลึก: กลยุทธ์ “ล้างสต็อก” หรือ “ล้างบางคู่แข่ง”?

แม้ข่าวที่ออกมาจะระบุว่าเป็นการ “ล้างสต็อก” แต่ในมุมมองของคนในอุตสาหกรรมแล้ว นี่คือการเดินหมากที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก มันคือกลยุทธ์ที่ผสมผสานกันระหว่างการระบายสินค้ารุ่นปัจจุบันเพื่อเตรียมรับโมเดลใหม่ และการใช้ “ราคา” เป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในการกวาดส่วนแบ่งตลาดและกำจัดคู่แข่งไปในคราวเดียวกัน

ยิ่งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ตลาดมีแนวโน้มที่ผู้ขายจะล้นตลาด แต่กำลังซื้อของผู้บริโภคกลับชะลอตัวและขาดความมั่นใจ ผู้บริโภคจะระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น และมองหาสินค้าที่ทดแทนกันได้ง่าย ในสภาวะเช่นนี้ การหั่นราคาลงมาอย่างรุนแรงของ BYD จึงเป็นเหมือนการโยนระเบิดลงกลางวงสนทนา มันเปลี่ยนสมการการตัดสินใจของผู้บริโภคโดยสิ้นเชิง จากเดิมที่อาจจะลังเลระหว่างแบรนด์ต่างๆ ตอนนี้ BYD ได้สร้าง “ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้” ขึ้นมา

กลยุทธ์นี้ยังเป็นการส่งสารไปถึงแบรนด์คู่แข่งสัญชาติจีนด้วยกันเองที่กำลังทยอยเข้ามาทำตลาดในไทย ไม่ว่าจะเป็น Changan, GAC Aion และอื่น ๆ ว่า “สนามนี้ไม่ง่าย” BYD ในฐานะผู้เล่นที่เข้ามาบุกเบิกตลาดและสร้างฐานลูกค้าได้แข็งแกร่งก่อนใคร กำลังใช้ความได้เปรียบด้านขนาดการผลิต (Economies of Scale) และการสนับสนุนจากบริษัทแม่ มาสร้างกำแพงราคาที่คู่แข่งรายใหม่ยากจะต่อกรด้วย

เสียงเฮของผู้ซื้อใหม่ และเสียงสะอื้นของลูกค้าเก่า

แน่นอนว่าการลดราคาครั้งนี้เป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ มันทำให้ EV เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และจะช่วยเร่งอัตราการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปสู่รถยนต์ไฟฟ้าในไทยให้เร็วขึ้นไปอีก สอดรับกับนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ การลดราคาอย่างมหาศาลนี้ได้สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรงต่อกลุ่มลูกค้าเก่าที่เพิ่งซื้อรถ BYD ไปก่อนหน้า โดยเฉพาะผู้ที่ซื้อ BYD Seal ไปในราคาเต็ม สิ่งที่เกิดขึ้นคือมูลค่ารถยนต์มือสองของพวกเขาดิ่งลงเหวในชั่วข้ามคืน สร้างความเจ็บปวดและคำถามถึงความรับผิดชอบของแบรนด์

ประเด็นนี้กลายเป็นดราม่าร้อนระอุในโซเชียลมีเดียและกลุ่มผู้ใช้งาน BYD ทันที ซึ่งถือเป็นความท้าทายด้านการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) และการจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management) ครั้งสำคัญของเรเว่ฯ ว่าจะสื่อสารและเยียวยาความรู้สึกของลูกค้ากลุ่มนี้อย่างไร เพราะพวกเขาคือกลุ่มคนที่เชื่อมั่นในแบรนด์มาตั้งแต่แรก และเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญที่สุดของแบรนด์ หากจัดการไม่ดีพอ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของแบรนด์ในระยะยาวได้

Thumbsup มองว่า การประกาศลดราคาของ BYD ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่แคมเปญส่งเสริมการขาย แต่เป็น “Strategic Move” ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยไปตลอดกาล มันคือการประกาศสงครามราคาเต็มรูปแบบที่ใช้ความได้เปรียบของตัวเองบีบคู่แข่งทุกรายให้ต้องกลับไปทำการบ้านอย่างหนัก ไม่ว่าจะเลือกที่จะสู้ด้วยการลดราคาตาม หรือหาจุดขายอื่นมาต่อกร ก็ล้วนแต่เป็นโจทย์ที่ยากลำบากทั้งสิ้น

ถ้ามองในมุมของนักการตลาด นี่คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการใช้กลยุทธ์ด้านราคา (Pricing Strategy) เพื่อชิงความได้เปรียบทางการแข่งขันและสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด BYD กำลังเล่นเกมยาว โดยยอมสละกำไรในระยะสั้นเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการเป็น “เจ้าตลาด” ที่ไม่มีใครเทียบได้

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จในเกมนี้ไม่ได้วัดกันที่ยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าเก่าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาวด้วย นี่คือบทพิสูจน์สำคัญว่า BYD และเรเว่ฯ จะสามารถบาลานซ์เกมรุกในตลาด ไปพร้อม ๆ กับการดูแลหัวใจของลูกค้าที่เคยให้การสนับสนุนพวกเขามาตั้งแต่ต้นได้ดีแค่ไหน

สมรภูมิ EV หลังจากนี้จะดุเดือดยิ่งกว่าเดิม ผู้เล่นรายอื่นจะตอบสนองอย่างไร และผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากสงครามครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน เป็นสิ่งที่พวกเราในฐานะ ‘นักเรียนการตลาดตลอดชีวิต’ ต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: