ChatGPT

ในโลกเทคโนโลยี การประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน แต่มีไม่บ่อยนักที่จะเป็นการ “ประกาศสงคราม” กับยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ

วันนี้ OpenAI บริษัทแม่ของ ChatGPT ได้ทำสิ่งที่ว่านั้น… พวกเขาเปิดตัวเว็บเบราว์เซอร์ของตัวเองในชื่อ Atlas

นี่ไม่ใช่แค่การเปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่แบบที่เราเห็น Arc หรือ Perplexity ทำ แต่นี่คือการที่ผู้เล่นที่มีผู้ใช้งานในมือกว่า 800 ล้านคน (แม้ส่วนใหญ่จะฟรี) ลุกขึ้นมาบอก Google เจ้าของ Chrome ที่มีผู้ใช้ 3 พันล้านคนทั่วโลก ว่า “บัลลังก์ของคุณกำลังสั่นคลอน”

ในฐานะคนในวงการการตลาดและเทคโนโลยี Thumbsup มองว่านี่คือการขยับตัวที่น่าตื่นเต้นและ “น่ากลัว” ที่สุดในรอบหลายปี เพราะมันไม่ใช่แค่การแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดเบราว์เซอร์ แต่มันคือการพยายาม “เปลี่ยน” วิธีที่เราเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไปตลอดกาล และที่สำคัญ มันอาจหมายถึงจุดจบของ “การค้นหา” (Search) และ “SEO” อย่างที่เราเคยรู้จัก

ChatGPT

ทำไมต้องเป็น ‘เบราว์เซอร์’?

คำถามแรกที่ต้องถามคือ ทำไม OpenAI ที่มี ChatGPT ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ต้องลงมาเล่นในตลาดที่โหดหินและมีเจ้าตลาดที่แข็งแกร่งอย่าง Chrome ครองอยู่?

คำตอบง่าย ๆ เลยคือ “เงิน” และ “การควบคุม”

แม้ OpenAI จะเป็นสตาร์ทอัประดับยูนิคอร์นที่ร้อนแรงที่สุดในโลก แต่ความจริงที่คนในวงการรู้กันคือ พวกเขายังคง “ขาดทุน” มากกว่า “ทำกำไร” การมีผู้ใช้ ChatGPT กว่า 800 ล้านคนนั้นยอดเยี่ยม แต่ส่วนใหญ่คือผู้ใช้ฟรี ต้นทุนการประมวลผล (Compute Cost) ของโมเดล AI นั้นมหาศาล การขาย Subscription แบบเสียเงินยังไม่เพียงพอที่จะครอบคลุม

OpenAI กำลังมองหาวิธี “ทำเงิน” จากฐานผู้ใช้มหาศาลนี้ และวิธีที่ดีที่สุดคือการยึด “ประตูสู่โลกอินเทอร์เน็ต” (Gateway to the Internet) ซึ่งก็คือ “เบราว์เซอร์” และ “การค้นหา”

การมีเบราว์เซอร์ของตัวเองหมายความว่า OpenAI สามารถ:

  1. ดึงทราฟฟิกอินเทอร์เน็ต: เปลี่ยนผู้ใช้ ChatGPT ให้กลายเป็นผู้ใช้ Atlas
  2. สร้างรายได้จากโฆษณาดิจิทัล: นี่คือการท้าชน Google ในสนามของ Google เองโดยตรง
  3. ควบคุมประสบการณ์ผู้ใช้: ไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มของคนอื่น

Atlas คืออะไร? และ ‘Agent Mode’ ที่จะมาเปลี่ยนโลก

Sam Altman CEO ของ OpenAI เรียกการเปิดตัวครั้งนี้ว่าเป็น “โอกาสที่หาได้ยากในรอบทศวรรษที่จะคิดใหม่ว่าเบราว์เซอร์สามารถเป็นอะไรได้บ้าง และเราจะใช้งานมันอย่างไร”

สิ่งที่ Atlas พยายามจะทำ ไม่ใช่การเป็น Chrome ที่ “เร็วขึ้น” แต่คือการเป็นเบราว์เซอร์ที่ “ฉลาดขึ้น”

Altman คาดหวังว่า “Chatbot Interface” (ช่องแชท) จะเข้ามาแทนที่ “URL Bar” (ช่องใส่เว็บ) แบบเดิม ๆ ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยุค Netscape เขาถึงกับพูดว่า “Tabs (แท็บ) มันยอดเยี่ยม แต่เราก็ไม่เห็นนวัตกรรมอะไรใหม่ ๆ ในเบราว์เซอร์อีกเลยตั้งแต่นั้นมา”

แต่ไม้เด็ดที่แท้จริงของ Atlas คือฟีเจอร์พรีเมียมที่เรียกว่า “Agent Mode”

นี่ไม่ใช่แค่การ “ค้นหาและสรุป” (Search and Summarize) แบบที่ Perplexity หรือ Google SGE (Search Generative Experience) ทำ แต่ “Agent Mode” คือการที่ AI จะเข้าไป “ทำงานแทนคุณ” บนอินเทอร์เน็ตจริง ๆ

ลองนึกภาพ… แทนที่คุณจะพิมพ์ว่า “ตั๋วเครื่องบินไปโตเกียว” แล้วไล่กดดูทีละเว็บ

คุณแค่บอก Agent Mode ว่า “หาและจองตั๋วไปโตเกียวที่ถูกที่สุดสำหรับสัปดาห์หน้า บินเช้าวันจันทร์ กลับเย็นวันศุกร์ โดยใช้บัตรเครดิตที่บันทึกไว้ของฉัน”

AI ของ Atlas จะเข้าถึงประวัติการท่องเว็บของคุณ (เพื่อดูว่าคุณชอบสายการบินไหน) เข้าถึง Laptop ของคุณ และ “คลิก” ไปทั่วมอินเทอร์เน็ต “แทนคุณ” เพื่อทำงานนั้นให้สำเร็จ โดยมันจะอธิบายกระบวนการทั้งหมดให้คุณฟังขณะที่มันทำงาน

Sam Altman สรุปง่ายๆ ว่า “มันคือการใช้อินเทอร์เน็ตแทนคุณ”

‘น่าทึ่ง’ หรือ ‘น่ากลัว’?

แน่นอนว่านวัตกรรมนี้มาพร้อมกับคำถามใหญ่

Paddy Harrington นักวิเคราะห์จาก Forrester ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า การที่ AI ทำอะไรแทนเราไปหมด มันก็เหมือนการ “พรากตัวตนของคุณไป”

Harrington ตั้งคำถามว่า “โปรไฟล์ของคุณจะถูกปรับแต่งโดยอิงจากข้อมูลทั้งหมดที่มันดูดไปจากคุณ… โอเค มันน่ากลัวนะ” เขากล่าวต่อว่า “แต่มันคือ ‘คุณ’ จริง ๆ หรือเปล่า? หรือมันคือสิ่งที่ ‘เอนจิ้น’ ตัดสินใจว่ามันจะทำ? … และมันจะแอบใส่ ‘โซลูชันที่ต้องการ’ (Preferred Solutions) โดยอิงจาก ‘โฆษณา’ เข้ามาด้วยหรือเปล่า?”

นี่ยังไม่นับรวมปัญหาคลาสสิกของ AI อย่าง “Hallucination” (การที่ AI ตอบมั่วอย่างมั่นใจ) ถ้า AI สรุปข้อมูลผิด ๆ มันก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้า AI “จอง” ตั๋วเครื่องบินผิด หรือ “โอนเงิน” ผิดพลาดล่ะ? ความไว้วางใจ (Trust) จะเป็นสมรภูมิที่สำคัญที่สุด

สงครามครั้งใหม่ และ ผลกระทบต่อ ‘Publisher’ และ ‘SEO’

นี่คือจุดที่คนทำการตลาดอย่างเราต้องจับตามอง

การมาของ Atlas และ “Agent Mode” (รวมถึงแนวทางที่ Google กำลังทำกับ Gemini) คือ “ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุด” ต่อผู้ผลิตเนื้อหาออนไลน์ (Online Publishers)

หาก AI สามารถสรุปข้อมูลทุกอย่างที่ผู้ใช้ต้องการได้ภายในหน้าจอแชท… พวกเขาจะคลิก “ลิงก์” เข้าไปอ่านในเว็บไซต์ต้นทางอีกทำไม?

นี่คือการ “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” ของเว็บข่าว, บล็อกเกอร์, และเว็บไซต์ E-commerce ที่อาศัยทราฟฟิกจากการค้นหามาโดยตลอด

และถ้าไม่มีใครคลิก… “SEO” (Search Engine Optimization) ที่เราทำกันมาทั้งชีวิต จะมีความหมายอะไรอีก?

วงการโฆษณา PPC (Pay-Per-Click) ก็จะถูกสั่นสะเทือนเช่นกัน ถ้าไม่มีการ “คลิก” จะมีการ “จ่าย” ได้อย่างไร? โมเดลโฆษณาอาจต้องเปลี่ยนเป็น “Pay-Per-Action” (จ่ายเมื่อ AI ทำงานสำเร็จ) หรือ “Pay-Per-Mention” (จ่ายเมื่อ AI เอ่ยถึงแบรนด์ของคุณ)

‘ยักษ์’ ล้มได้จริงหรือ?

แน่นอนว่าการท้าชน Google ที่มี Chrome (ส่วนแบ่งตลาด 3 พันล้านคน) และ Google Search (ที่ฝัง Gemini AI ไว้แล้ว) ไม่ใช่เรื่องง่าย Paddy Harrington ยอมรับว่ามันเป็น “ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่” ในการ “แข่งขันกับยักษ์ที่มีส่วนแบ่งตลาดมหาศาล”

แต่ประวัติศาสตร์ก็เคยสอนเรามาแล้ว…

ในปี 2008 ที่ Google เปิดตัว Chrome ตอนนั้น Microsoft Internet Explorer (IE) คือยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ จนแทบไม่มีใครเชื่อว่าเบราว์เซอร์ใหม่จะแจ้งเกิดได้

แต่ Chrome เอาชนะ IE ได้ด้วย “ความเร็ว” (Speed) และ “ความเรียบง่าย” (Simplicity) มันคือชัยชนะทาง “เทคนิค”

มาวันนี้ “สงครามเบราว์เซอร์ครั้งที่สอง” (Browser War II) ได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่สนามรบได้เปลี่ยนไป

ครั้งนี้… มันไม่ใช่การต่อสู้กันด้วย “ความเร็ว” แต่เป็นการต่อสู้กันด้วย “ความฉลาด” (Intelligence)

น่าสนใจว่า ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารของ OpenAI เคยให้การว่า หากศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สั่งให้ Google “ขาย” เบราว์เซอร์ Chrome (จากคดีผูกขาด) OpenAI ก็ “สนใจที่จะซื้อ”

แต่เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้พิพากษา Amit Mehta ได้ปฏิเสธคำขอนั้น โดยให้เหตุผลส่วนหนึ่งว่า เขาเชื่อว่า “ความก้าวหน้าในอุตสาหกรรม AI ได้กำลังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์การแข่งขันไปแล้ว”

คำตัดสินนั้น… กลายเป็นการเปิดทางให้ OpenAI ไม่ต้อง “ซื้อ” แต่ตัดสินใจ “สร้าง” มันขึ้นมาเอง

Thumbsup มองว่า การเปิดตัว “Atlas” ของ OpenAI ไม่ใช่แค่การเพิ่มตัวเลือกเบราว์เซอร์ใหม่ในตลาด มันคือ “การเดิมพันอนาคต” ของบริษัท

นี่คือการขยับตัวจาก “ผู้สร้างโมเดล AI” ไปสู่ “ผู้คุมแพลตฟอร์ม”

จาก B2B (ขาย API) ไปสู่ B2C (เป็นเจ้าของ End User)

สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือ “Agent Mode” นี่คือวิสัยทัศน์ของอินเทอร์เน็ตยุคต่อไป ที่ผู้ใช้ไม่ต้อง “ท่อง” (Browse) แต่ผู้ใช้แค่ “สั่ง” (Command)

สำหรับคนในวงการการตลาดและโฆษณา นี่คือสัญญาณเตือนภัยครั้งใหญ่ที่สุด แผนการตลาดที่พึ่งพา SEO และ PPC ที่เราใช้กันมา 20 ปี กำลังจะไร้ความหมายหรือไม่? เราอาจจะต้องเรียนรู้การทำ “AIO” (Agent Interface Optimization) หรือ “การปรับแต่งเพื่อให้ AI เลือกเรา” แทน

แม้ว่าการโค่นล้ม Google Chrome ที่มีผู้ใช้ 3 พันล้านคนจะเป็นงานที่แทบเป็นไปไม่ได้ แต่ประวัติศาสตร์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า “ยักษ์” ล้มได้เสมอ ถ้าผู้ท้าชิงมี “นวัตกรรม” ที่ดีกว่า

และครั้งนี้ OpenAI ไม่ได้เดิมพันด้วยความเร็ว… พวกเขาเดิมพันด้วย “สมอง”

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: