ในโลกที่ความเร็วคือทุกสิ่ง ข่าวที่สะเทือนวงการล่าสุดอาจไม่ได้มาจากความเร็วบนแทร็ก แต่เป็นความเร็วของตัวเลขในบัญชีธนาคาร เมื่อ Financial Times สื่อการเงินชั้นนำ รายงานว่า Toto Wolff ผู้บริหารและซีอีโอคนดังของทีม Mercedes F1 กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสูง เพื่อขายหุ้น “ส่วนตัว” ของเขาในทีม (ราว 5%) ให้กับ George Kurtz ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง CrowdStrike บริษัท Cybersecurity ยักษ์ใหญ่
ตัวเลขที่ทำให้ทุกคนต้องหยุดหายใจคือ “มูลค่าประเมิน” (Valuation) ของทีมที่ $6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท)
ตัวเลขนี้ไม่เพียงแต่สร้างสถิติใหม่ให้กับทีม F1 แต่ยังเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า Formula 1 ได้กลายร่างจาก “กีฬา” ไปสู่ “สินทรัพย์เพื่อการลงทุนระดับโลก” อย่างสมบูรณ์แบบ
คำถามสำคัญสำหรับพวกเราชาวการตลาดคือ มันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? และทำไมดีลนี้ถึงเป็นบทเรียนที่นักการตลาดทุกคนต้องศึกษา?

ภาพจาก Mercedes F1
The “Liberty Media Effect” เมื่อ Netflix ปั้นแบรนด์ F1 ใหม่
เพื่อที่จะเข้าใจมูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ เราต้องย้อนกลับไปในปี 2017 เมื่อ Liberty Media เข้าซื้อกิจการ Formula 1
ในยุคก่อน Liberty F1 ถูกมองว่าเป็นกีฬาที่เข้าถึงยาก, เน้นเทคนิคจ๋า, แฟน ๆ ส่วนใหญ่คือ “ขาประจำ” ในยุโรป และดูเหมือนจะ “แก่” ลงไปพร้อม ๆ กับผู้ชม
แต่ Liberty Media ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสัญชาติอเมริกัน มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม พวกเขาไม่ได้ซื้อ “การแข่งขันรถยนต์” พวกเขาซื้อ “คอนเทนต์” และ “แพลตฟอร์ม”
อาวุธลับที่เปลี่ยนเกมไปตลอดกาลคือการจับมือกับ Netflix สร้างสารคดีซีรีส์ “Drive to Survive” (DTS)
DTS ไม่ได้เล่าเรื่องการแข่งรถ แต่เล่าเรื่อง “ดราม่าหลังฉาก” มันเปลี่ยนนักขับและทีมบอส (Team Principals) ที่เคยไร้ตัวตน ให้กลายเป็น “ตัวละคร” ที่มีชีวิตจิตใจ มีรัก โลภ โกรธ หลง มีการเมือง มีการหักหลัง และ Toto Wolff ก็คือหนึ่งใน “นักแสดงนำ” ที่โดดเด่นที่สุด
ผลลัพธ์คือ
- เจาะตลาดสหรัฐฯ สำเร็จ: DTS ทำให้ F1 บูมในอเมริกาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (จากที่เคยมีสนามเดียวใน Austin สู่การเพิ่ม Miami และ Las Vegas)
- ฐานแฟนใหม่: ดึงดูดผู้ชมกลุ่มใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และผู้หญิง ที่ไม่เคยสนใจมอเตอร์สปอร์ตมาก่อน
- มูลค่าพุ่ง: เมื่อฐานผู้ชมขยายตัว, เป็นกระแสในระดับโลก, ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด, ค่าสปอนเซอร์ และมูลค่าของทีมก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ดีล 6 พันล้านดอลลาร์นี้ คือ “ใบเสร็จ” ที่พิสูจน์ความสำเร็จของกลยุทธ์ Sport Entertainment ของ Liberty Media
ผู้ซื้อคือใคร? CEO, Hacker และ “นักซิ่งตัวจริง”
อีกหนึ่งจิ๊กซอว์ที่น่าสนใจคือผู้ซื้อ George Kurtz
Kurtz ไม่ใช่แค่มหาเศรษฐีสายเทคที่อยากซื้อของเล่นแพง ๆ เขามีดีมากกว่านั้น
- เขาคือ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง CrowdStrike บริษัทด้าน Cybersecurity ที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
- เขาคือ แฮกเกอร์ในตำนาน ผู้ร่วมเขียนหนังสือ “Hacking Exposed” ที่ชาวไซเบอร์รู้จักกันดี
- และที่สำคัญที่สุด เขาคือ “นักแข่งรถตัวจริง” (FIA Bronze-rated) ที่ลงแข่งในรายการต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงการคว้าแชมป์ในคลาสของตัวเองที่ 24 Hours of Le Mans และที่สำคัญ เขาขับ Mercedes-AMG GT3 EVO
นี่คือส่วนผสมที่ลงตัวอย่างเหลือเชื่อ เป็นมหาเศรษฐีที่เข้าใจเทคโนโลยีลึกซึ้ง, หลงใหลในความเร็วเป็นชีวิตจิตใจ และเป็นลูกค้าของแบรนด์ Mercedes-AMG อยู่แล้ว
จาก B2B Partner สู่ Owner เมื่อ Cybersecurity คือหัวใจของ F1
ความสัมพันธ์ระหว่าง Mercedes F1 และ CrowdStrike ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้น แต่เป็นพาร์ทเนอร์กันมาอย่างยาวนาน โลโก้ CrowdStrike ติดอยู่บนรถแข่งและชุดนักขับมาหลายปี
แต่นี่ไม่ใช่แค่การแปะโลโก้เพื่อ Brand Awareness
ในมุมของนักการตลาด B2B นี่คือ Masterclass ที่แท้จริง
F1 ในปัจจุบันคือ “สงครามข้อมูล” (Data War) ทีม Mercedes เปิดเผยว่าพวกเขาเก็บข้อมูลจากเซ็นเซอร์กว่า 300 จุดบนรถ และสร้างข้อมูลราว 1 เทราไบต์ (1TB) ต่อหนึ่งเรซสุดสัปดาห์ ข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งกลับไปยังโรงงานที่อังกฤษแบบเรียลไทม์เพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์
หน้าที่ของ CrowdStrike คือการปกป้องข้อมูลมหาศาลเหล่านี้จากการโจมตีทางไซเบอร์
ลองคิดภาพตาม ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด ข้อมูลกลยุทธ์การเปลี่ยนยาง หรือแผนการแซง คือความลับสุดยอดที่ “ห้ามรั่ว” โดยเด็ดขาด
CrowdStrike จึงใช้ F1 เป็น “Living Lab” หรือ “ห้องทดลองที่มีชีวิต” ที่ดีที่สุดในโลก เพื่อพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาสามารถปกป้องข้อมูลที่สำคัญที่สุด, ในสภาพแวดล้อมที่กดดันที่สุด และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดได้
นี่คือการตลาด B2B ที่น่าสนใจ “ถ้าเราปกป้องข้อมูลของทีม F1 ที่เร็วที่สุดในโลกได้ เราก็ปกป้องข้อมูลบริษัทของคุณได้”
การที่ George Kurtz ตัดสินใจลงเงิน “ส่วนตัว” ซื้อหุ้นทีม สะท้อนว่าเขาไม่ได้มอง F1 เป็นแค่ “ป้ายโฆษณา” แต่มองเห็นมูลค่าที่แท้จริงของ “แพลตฟอร์ม” นี้ เขาได้เห็นข้อมูลหลังบ้าน, เห็นศักยภาพ, เห็นเทคโนโลยี และตอนนี้เขาต้องการเป็น “เจ้าของ” มันด้วยตัวเอง นี่คือการยกระดับจาก Sponsorship สู่ Partnership สู่ Ownership
Toto Wolff จาก “ทีมบอส” สู่ “Celebrity”
ในอีกด้านหนึ่ง Toto Wolff กำลังทำในสิ่งที่แยบยลที่สุด
เขาคือหนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก “DTS Effect”
จากผู้บริหารทีมแข่งรถที่คนรู้จักในวงจำกัด เขากลายเป็น “เซเลบ” ระดับโลก เป็น “ตัวพ่อ” ที่มีคนติดตามและพูดถึงไม่แพ้นักขับ
การที่เขาขายหุ้น “ส่วนตัว” (ซึ่งเขามีอยู่ 1 ใน 3 ของทีม) ในจังหวะที่มูลค่าทีมพีคที่สุด คือการ “Cash Out” หรือการแปลงชื่อเสียง (Brand Capital) ที่เขาสั่งสมมาให้กลายเป็น “เงินสด”
FT ยังตั้งข้อสังเกตว่า Wolff เองก็เพิ่งผันตัวไปเป็น Executive Producer ให้กับ F1 The Movie ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของ Apple ที่กำลังจะเข้าฉาย นี่คือการขยาย Personal Brand ของเขาออกไปในวงการ Entertainment อย่างเต็มตัว
การขายหุ้นครั้งนี้จึงเป็นการกระจายความเสี่ยง และเก็บเกี่ยวกำไรมหาศาลจากความสำเร็จที่เขาสร้างมากับมือ
Thumbsup มองว่า ดีลระหว่าง Toto Wolff และ George Kurtz ไม่ใช่แค่ข่าวซื้อขายหุ้นทีมกีฬา แต่มันคือ “จุดตัด” ที่สมบูรณ์แบบของยุคสมัย
- Sport as Entertainment: Liberty Media พิสูจน์แล้วว่า การปั้น “ดราม่า” และ “สตอรี่” (ผ่าน DTS) สามารถสร้างมูลค่าให้แบรนด์ได้มหาศาลยิ่งกว่าผลงานในสนามแข่งเสียอีก
- B2B at the Core: F1 ไม่ได้ขายแค่ “พื้นที่โฆษณา” แต่ขาย “แพลตฟอร์มเทคโนโลยี” ที่ล้ำที่สุดในโลก CrowdStrike ใช้มันเป็น Case Study ด้าน Cybersecurity ที่ทรงพลังที่สุด
- The Rise of Personal Brand: Toto Wolff คือตัวอย่างของ CEO ที่ใช้สื่อสร้างตัวตน (Personal Brand) จนกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามหาศาล และ “ขาย” มันได้ในราคาที่เหมาะสม
- Passion Investing: George Kurtz คือตัวแทนของนักลงทุนยุคใหม่ ที่ใช้ “แพชชั่น” (การแข่งรถ) นำทาง และใช้ “ความเชี่ยวชาญ” (เทคโนโลยี) ต่อยอดการลงทุน
มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ ไม่ใช่ราคาของรถแข่งสองคัน หรือโรงงานในอังกฤษ แต่มันคือราคาของ “แบรนด์” ที่คนทั้งโลกคลั่งไคล้, “ข้อมูล” ที่ล้ำค่าที่สุดในสนามรบดิจิทัล และ “ดราม่า” ที่ Netflix พิสูจน์แล้วว่า “ขายได้”
อ่านเพิ่มเติม



