F1

ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่าง “กีฬา” และ “ความบันเทิง” พร่าเลือนจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน คอนเทนต์กีฬาวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ผลแพ้ชนะในสนามแข่ง แต่กลายเป็น Pop Culture ที่แทรกซึมไปทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่แฟชั่น ภาพยนตร์ ไปจนถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ วันนี้ Thumbsup จะพาไปเจาะลึกงบการเงินและทิศทางธุรกิจล่าสุดของ Liberty Media Corporation ประจำไตรมาส 3 ปี 2025

ตัวเลขในไตรมาสนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของกำไรขาดทุน แต่มันคือภาพสะท้อนของ “การเปลี่ยนผ่าน” ครั้งสำคัญ เมื่อเจ้าของลิขสิทธิ์รถสูตรหนึ่ง หรือ Formula 1 (F1) ได้ควบรวมกิจการมอเตอร์ไซค์ทางเรียบเบอร์หนึ่งของโลกอย่าง MotoGP เข้ามาอยู่ในพอร์ตโฟลิโออย่างสมบูรณ์ ไตรมาสนี้จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่นักการตลาดและคนทำธุรกิจต้องจับตามอง เพราะนี่คือโมเดลของ Sporttainment (Sports + Entertainment) ที่ทรงพลังที่สุดในโลกเวลานี้

F1

Formula 1 ปรากฏการณ์ “Less is More” แข่งน้อยลง แต่ทำเงินได้มากขึ้น

เริ่มต้นที่พี่ใหญ่อย่าง Formula 1 (F1) ซึ่งถือเป็น Cash Cow หลักของกลุ่ม ในไตรมาส 3 ปี 2025 นี้มีตัวเลขที่น่าสนใจมาก เพราะมีการจัดการแข่งขันเพียง 6 สนาม น้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024 ที่มี 7 สนาม หากคิดตามตรรกะทั่วไป รายได้จากการขายตั๋วและลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดควรจะลดลงตามจำนวนเรซที่หายไป แต่ F1 กลับทำในสิ่งที่น่าทึ่งและพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์

รายได้รวมของ F1 ในไตรมาสนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 869 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 861 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า และที่น่าประทับใจกว่าคือกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Income) ที่พุ่งสูงขึ้นถึง 15% แตะระดับ 168 ล้านดอลลาร์ และหากดูตัวเลข Adjusted OIBDA ก็เติบโตขึ้น 6% อยู่ที่ 234 ล้านดอลลาร์

ทำไมแข่งน้อยลงแต่รายได้ยังโต?

คำตอบอยู่ที่กลยุทธ์การบริหารจัดการ Commercial Rights หรือสิทธิ์ทางการพาณิชย์ที่ชาญฉลาดของ Liberty Media แม้รายได้หลัก (Primary Revenue) จากการโปรโมตสนามแข่งและค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดจะลดลงเล็กน้อยตามจำนวนสนาม แต่พวกเขาสามารถชดเชยด้วย รายได้จากสปอนเซอร์ (Sponsorship Revenue) ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง การเซ็นสัญญากับพาร์ทเนอร์ใหม่ ๆ และการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมตามสัญญาเดิม เป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้รายได้รวมยังเป็นบวก

นอกจากนี้ สิ่งที่นักการตลาดต้องโฟกัสคือ “Other Revenue” หรือรายได้อื่น ๆ ที่พุ่งขึ้นถึง 27% แตะ 131 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความสำเร็จของบริการ Hospitality อย่าง Paddock Club ที่กลายเป็น Luxury Experience ที่เศรษฐีทั่วโลกยอมจ่ายไม่อั้น รวมถึงรายได้จากค่าลิขสิทธิ์สินค้า (Licensing) ที่ขยายตัวอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า F1 ไม่ได้ขายแค่การดูแข่งรถ แต่ขาย “ประสบการณ์” และ “ไลฟ์สไตล์”

F1

Apple x F1 ดีลสะเทือนวงการสื่อ เมื่อ Tech Giant ลงสนามความเร็ว

ข่าวใหญ่ที่สุดในรายงานฉบับนี้ที่ Thumbsup อยากขีดเส้นใต้หนา ๆ คือการประกาศพันธมิตรใหม่กับ Apple ในฐานะ US broadcast partner

นี่ไม่ใช่แค่การขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดธรรมดา แต่มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ภาพยนตร์ “F1” (นำแสดงโดย Brad Pitt) กวาดรายได้ Box Office ทั่วโลกไปกว่า 630 ล้านดอลลาร์ และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของ Apple จนถึงปัจจุบัน การผนึกกำลังระหว่าง Tech Giant อย่าง Apple กับ Sport Giant อย่าง F1 จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ของการเสพคอนเทนต์กีฬาในสหรัฐฯ ไปอย่างสิ้นเชิง

การที่ Apple กระโดดเข้ามาร่วมวงอย่างเต็มตัว สะท้อนให้เห็นว่าตลาดสหรัฐฯ ที่เคยเป็น “ยาขม” ของ F1 ในอดีต ตอนนี้ได้กลายเป็นขุมทองสำคัญ Stefano Domenicali ซีอีโอของ F1 ระบุชัดเจนว่าดีลนี้จะเน้นย้ำ “Collaborative Innovation” ซึ่งเราอาจจะได้เห็นการดูแข่งรถในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น ผ่าน Apple Vision Pro หรือ Interactive Data บนหน้าจอ Apple TV ในอนาคตอันใกล้นี้

MotoGP น้องใหม่ในบ้าน Liberty Media กับภารกิจ Americanization

หลังจากปิดดีลเข้าซื้อกิจการเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 MotoGP ก็เริ่มโชว์ศักยภาพทันที ในไตรมาสนี้ MotoGP ทำรายได้ไป 169 ล้านดอลลาร์ โดยมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 36 ล้านดอลลาร์ (คำนวณแบบ Pro Forma เสมือนว่าควบรวมมาตั้งแต่ต้นปี)

สิ่งที่ Liberty Media กำลังทำกับ MotoGP คือสิ่งที่พวกเขาเคยทำสำเร็จกับ F1 มาแล้ว นั่นคือการ “Americanize” และ “Modernize” ตัวกีฬา เพื่อยกระดับมูลค่า

  • การปรับโครงสร้างหนี้: Liberty เข้ามาจัดการรีไฟแนนซ์หนี้ของ MotoGP ทันที เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและยืดอายุหนี้ ทำให้สถานะทางการเงินคล่องตัวขึ้น
  • Commercial Agreements: เริ่มเห็นการต่อสัญญาสำคัญ ๆ เช่น สนามแข่งที่ญี่ปุ่น (ถึงปี 2030), สนามคาตาลูญญา วาเลนเซีย ฝรั่งเศส เยอรมนี (ถึงปี 2031) รวมถึงการดึงสปอนเซอร์ระดับโลกอย่าง Repsol เข้ามาสนับสนุนในรุ่น Moto2 และ Moto3

แม้ตัวเลขรายได้จะดูทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน (เพราะรายได้ส่วนใหญ่เป็นสกุลยูโร) และการเปลี่ยนแปลงปฏิทินการแข่งขัน แต่สัญญาณบวกคือการจัดการภายในที่เริ่มเข้าที่เข้าทาง Liberty มองเห็น “เพชรในตม” ของ MotoGP ที่ยังเจียระไนไม่เสร็จ โดยเฉพาะโอกาสในการขยายฐานแฟนคลับในสหรัฐฯ และการสร้าง Storytelling ผ่านสื่อดิจิทัลแบบเดียวกับที่ Drive to Survive เคยทำไว้กับ F1

การแยกตัวของ Liberty Live โฟกัสที่ชัดเจนเพื่อ Unlock Value

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญในระดับองค์กร คือแผนการ Split-off หรือแยกธุรกิจ Liberty Live Group (ซึ่งถือหุ้นใน Live Nation และตั๋วเข้าชมคอนเสิร์ตต่าง ๆ) ออกเป็นบริษัทมหาชนอิสระ โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นในวันที่ 15 ธันวาคม 2025

การขยับตัวครั้งนี้มีความหมายเชิงกลยุทธ์ชัดเจน คือต้องการปลดล็อกมูลค่าหุ้นให้แต่ละธุรกิจมีความคล่องตัวและชัดเจนในสายตานักลงทุน Liberty Media เดิมจะโฟกัสที่ Motorsport (F1 + MotoGP) อย่างเต็มตัว กลายเป็นอาณาจักรแห่งความเร็วที่ไร้คู่แข่ง ในขณะที่ Liberty Live ก็จะแยกตัวไปลุยตลาด Music & Entertainment ผ่าน Live Nation ได้อย่างอิสระ ซึ่งจะช่วยลดส่วนลดของมูลค่าหุ้นที่มักเกิดขึ้นกับบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลายเกินไป

Lifestyle Expansion เมื่อแบรนด์ไม่ได้อยู่แค่ในสนามแข่ง

อีกจุดที่น่าสนใจในไตรมาสนี้คือการขยาย Licensing Agreement ไปสู่กลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ที่กว้างขึ้น F1 ได้เซ็นสัญญากับ Pottery Barn Kids และ Pottery Barn Teen รวมถึงโปรเจกต์ Hello Kitty x F1 Academy

นี่คือกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการ “ลดอายุ” แบรนด์ และเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ (Gen Alpha และ Gen Z) ตั้งแต่พวกเขายังเด็ก การพาแบรนด์ F1 ออกจากสนามแข่งไปอยู่ในห้องนอน ของใช้ และแฟชั่น คือการสร้าง Brand Love ในระยะยาว และเป็นการปูทางให้ F1 กลายเป็นแบรนด์ที่ Mass และเข้าถึงง่ายขึ้น ไม่ใช่แค่กีฬาของคนรวยหรือผู้ชายวัยกลางคนอีกต่อไป

Thumbsup มองว่า จากผลประกอบการ Q3 2025 ของ Liberty Media เราเห็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักการตลาดและคนทำธุรกิจ 3 ข้อ

  1. Content is King, but Context is God: F1 ไม่ได้ขายแค่การแข่งรถ แต่ขาย “ดราม่า” และ “ไลฟ์สไตล์” ความสำเร็จของหนัง F1 และการจับมือกับ Apple พิสูจน์แล้วว่า การสร้างบริบทรอบตัวสินค้าสำคัญพอ ๆ กับตัวสินค้าเอง แบรนด์ต้องรู้จักสร้าง Story ที่น่าติดตาม
  2. Experience Economy: รายได้จาก Hospitality ที่พุ่งสูงขึ้น บอกเราว่าผู้คนยอมจ่ายแพงเพื่อ “ประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้” ในยุคดิจิทัล สิ่งที่มีค่าที่สุดคือประสบการณ์จริง (Physical Experience) แบรนด์ที่สามารถสร้าง Exclusive Experience จะเป็นผู้ชนะในเศรษฐกิจยุคหน้า
  3. Focus Strategy: การแยก Liberty Live ออกไป แสดงให้เห็นว่าการทำอะไรหลายอย่างอาจไม่ดีเท่ากับการโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด การจัดพอร์ตโฟลิโอธุรกิจให้ชัดเจนจะช่วยให้บริหารจัดการได้ง่ายขึ้นและสร้างมูลค่าได้มากกว่า

Liberty Media กำลังเปลี่ยนตัวเองจากบริษัทจัดการแข่งขันกีฬา เป็นเจ้าของ IP (Intellectual Property) ระดับโลกที่ทำเงินได้จากทุกช่องทาง และสำหรับแบรนด์ไทยที่กำลังมองหาโอกาส การเกาะกระแส Sporttainment เหล่านี้ หรือการนำโมเดลการสร้างมูลค่าเพิ่มจากคอนเทนต์มาปรับใช้ อาจเป็นทางรอดที่น่าสนใจในยุคที่ Digital Marketing แข่งขันกันดุเดือด

อ้างอิง Liberty Media 1, 2

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: