
ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข่าวใหญ่ที่ทุกคนจับตามองคือสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดสงขลาที่ดูจะหนักหนาสาหัสกว่าครั้งไหนๆ
วันนี้ Thumbsup ได้เจาะลึกข้อมูลล่าสุดจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 มาดูกันครับว่าในมุมมองของนักวิเคราะห์ ตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจครั้งนี้ตีมูลค่าออกมาเท่าไหร่ และมีนัยยะอะไรที่คนทำธุรกิจต้องรู้บ้าง เพื่อเตรียมรับมือกับกำลังซื้อที่จะเปลี่ยนไปในช่วงส่งท้ายปี
เปิดตัวเลขความเสียหาย: 25,000 ล้านบาท ที่หายไปใน 1 เดือน
จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เคาะตัวเลขผลกระทบทางเศรษฐกิจเบื้องต้นออกมาแล้วครับว่า เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้อาจก่อให้เกิดมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท ภายในกรอบเวลาเพียง 1 เดือน
ตัวเลข 25,000 ล้านบาทนี้ หากเทียบกับขนาดเศรษฐกิจประเทศไทย (Nominal GDP) อาจจะดูเหมือนเล็กน้อยที่ราว 0.13% แต่สำหรับเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะภาคใต้ นี่คือตัวเลขที่มหาศาลครับ โดยสมมติฐานของการประเมินนี้วางอยู่บนคาดการณ์ที่ว่าเหตุการณ์จะมีความรุนแรงในช่วง 10-15 วันแรก ก่อนจะทยอยลดระดับความรุนแรงลงใน 10-15 วันถัดมา
สงขลา “พื้นที่ไข่แดง” ที่รับแรงกระแทกหนักที่สุด (75-80%)
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในรายงานฉบับนี้คือ “พื้นที่” ที่ได้รับผลกระทบครับ เพราะน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้กระจายตัวเบาๆ แต่พุ่งเป้าไปที่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นหัวเมืองเศรษฐกิจหลักของภาคใต้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ความเสียหายกว่า 75-80% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด เกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลา
ทำไมต้องเป็นสงขลา? และทำไมถึงกระทบหนัก?
ข้อมูลระบุว่าในช่วงแรก สงขลาประสบภัยใน “แทบทุกพื้นที่” ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักทันที โดยเฉพาะใน 2 ภาคส่วนหลักที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงของจังหวัด:
- ภาคบริการ (โรงแรม, ร้านอาหาร, ค้าปลีก, ขนส่ง): ภาคส่วนนี้มีสัดส่วนสูงถึงกว่า 56% ของเศรษฐกิจสงขลา
- ภาคการผลิตอุตสาหกรรม (เกษตรและอาหารแปรรูป): มีสัดส่วนกว่า 18%
เมื่อรวมกับการหยุดให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างไฟฟ้าและประปา (สัดส่วน 3%) ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนเลยว่า ทำไมเม็ดเงินถึงหายไปมหาศาลขนาดนี้
Timing is Everything: เมื่อน้ำมาตรงกับ “ไฮซีซั่น” และ “ซีเกมส์”
ความโชคร้ายของวิกฤตครั้งนี้คือเรื่องของ “จังหวะเวลา” (Timing) ครับ รายงานชี้ให้เห็นประเด็นที่น่าเจ็บปวดสำหรับผู้ประกอบการ 2 เรื่องสำคัญ:
- ช่วงปลายปี: ปกติแล้วกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะคึกคักขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) การมาของน้ำท่วมจึงเหมือนการตัดโอกาสในการกอบโกยรายได้ช่วงพีคที่สุดของปี
- เจ้าภาพซีเกมส์: ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ในช่วง 9-20 ธันวาคม 2568 ซึ่งจังหวัดสงขลาถูกวางตัวให้เป็นหนึ่งในสถานที่จัดการแข่งขันหลายประเภทกีฬา ผลกระทบครั้งนี้จึงไม่ได้แค่เรื่องน้ำท่วมบ้าน แต่กระทบต่อการเตรียมความพร้อมและบรรยากาศการท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่ควรจะสะพัดอย่างเต็มที่
เจาะไส้ในความเสียหาย: ภาคบริการเจ็บหนักสุด
หากเรามาดูไส้ในของตัวเลข 25,000 ล้านบาท จะเห็นการกระจายตัวของผลกระทบที่ชัดเจน ดังนี้
- ภาคบริการและอื่นๆ: เสียหายหนักที่สุดราว 10,000 – 15,000 ล้านบาท (กระทบโรงแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก ขนส่ง เต็มๆ)
- ภาคการผลิตและสาธารณูปโภค: เสียหายราว 4,500 – 9,000 ล้านบาท
- ภาคเกษตร: เสียหายราว 6,000 ล้านบาท โดยกระทบพื้นที่ปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน รวมถึงพื้นที่เลี้ยงสัตว์น้ำและการประมง
ผลกระทบระลอกสอง: ความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ซับซ้อนกว่า
นอกเหนือจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก (Business Interruption) ที่เราเห็นตัวเลขกันไปแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังเตือนให้มองข้ามช็อตไปถึง “ผลกระทบส่วนที่สอง” นั่นคือ ความเสียหายต่อสินทรัพย์
เมื่อน้ำลด ปัญหาไม่ได้จบครับ เพราะผู้ประสบภัยต้องจัดการกับความเสียหายของ อาคารบ้านเรือน รถยนต์ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งความซับซ้อนมันอยู่ตรงที่ว่า การฟื้นฟูตรงนี้ต้องใช้ “เงิน” และ “เวลา”
ปัจจัยที่จะชี้วัดว่ากำลังซื้อจะกลับมาเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับ
- เงินออมและสภาพคล่องของแต่ละครัวเรือน
- ความสามารถในการหารายได้ที่อาจลดลงช่วงน้ำท่วม
- ความช่วยเหลือจากเจ้าหนี้ คู่ค้า และสถาบันการเงิน
- มาตรการเยียวยาจากภาครัฐ
โจทย์ใหญ่ของนักการตลาดหลังน้ำลด
จากข้อมูลทั้งหมดของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เราเห็นภาพชัดเจนว่าเศรษฐกิจภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะสงขลา จะเกิดภาวะ “สุญญากาศ” ของกำลังซื้อในช่วงสั้นๆ อย่างน้อย 1 เดือน และอาจมีผลกระทบต่อเนื่องจากการที่ผู้บริโภคต้องโยกเงินไปใช้ซ่อมแซมบ้านและทรัพย์สินแทนการจับจ่ายใช้สอยสินค้าฟุ่มเฟือย
สำหรับแบรนด์และนักการตลาด สิ่งที่ต้องจับตาคือสัญญาณการฟื้นตัวหลังช่วง 10-15 วันหลังที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และต้องไม่ลืมว่าสงขลาคือ Host ของงานซีเกมส์ที่จะมาถึงในเดือนธันวาคม ซึ่งอาจจะเป็น Event สำคัญในการดึง Mood การจับจ่ายให้กลับมา หากการฟื้นฟูทำได้เร็ว
ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ แต่โอกาสนั้นจะเป็นของคนที่ “เข้าใจ” สถานการณ์ และ “เห็นใจ” ผู้บริโภคอย่างแท้จริงครับ


