Emotional Intelligence Resilience

ในโลกการทำงานยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ VUCA คนทำงานการตลาดและเทคโนโลยีอย่างเรามักถูกสอนให้ วิ่งให้เร็ว และ อดทนให้ถึงที่สุด แต่เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนเจอปัญหาหนักแค่ไหนก็กลับมาเฉิดฉายได้ ในขณะที่บางคนพยายามกัดฟันสู้แทบตายกลับแตกสลายลงกลางทาง?

คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่าใคร อึด กว่ากัน แต่อยู่ที่ใครมี Resilience หรือ ความยืดหยุ่นทางอารมณ์และจิตใจ มากกว่ากันต่างหาก

วันนี้ Thumbsup จะพาไปหาความหมายนี้จากหนังสือ Emotional Intelligence ในพาร์ท Resilience ที่รวบรวมมุมมองจาก Diane Coutu, Daniel Goleman และผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เพื่อทำความเข้าใจว่า แท้จริงแล้ว Resilience คืออะไร และเราจะสร้างทักษะนี้เพื่อเอาตัวรอดในสมรภูมิธุรกิจและชีวิตจริงได้อย่างไร

Emotional Intelligence Resilience

Resilience เกราะป้องกันทางใจที่ไม่ใช่แค่ความถึก

หลายคนเข้าใจผิดว่า Resilience คือความสามารถในการ กัดฟันสู้ เหมือนนักมวยที่โดนชกแล้วไม่ยอมล้ม แต่ในความเป็นจริง เส้นแบ่งระหว่างความถึกกับความยืดหยุ่นนั้นชัดเจนมาก ความถึกคือการยืนต้านพายุ แต่ Resilience คือความสามารถในการหา ความสงบ ท่ามกลางตาพายุนั้น

Resilience คือกระบวนการทางจิตวิทยาที่ช่วยให้เรากอบกู้สมดุลชีวิตกลับคืนมาหลังจากถูกกระทบกระเทือน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างการสูญเสียคนรัก วิกฤตเศรษฐกิจ หรือเรื่องใกล้ตัวอย่างโปรเจกต์ล่ม หรือสอบตก มันคือแรงขับเคลื่อนที่ปลุกให้เราลุกจากเตียงในตอนเช้าเพื่อไปทำงานและดูแลตัวเอง แม้ในวันที่โลกดูเหมือนจะพังทลาย

สิ่งสำคัญคือ Resilience ไม่ได้การันตีความสุขหรือความสำเร็จ แต่มันคือ เชื้อเพลิง ที่จะพาคุณไปถึงจุดนั้น

เข้าใจ 3 องค์ประกอบสร้าง Resilience

Diane Coutu หนึ่งในผู้เขียน ได้นำเสนอบทเรียนที่น่าสนใจ โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ระดับโลกอย่างการรอดชีวิตจากค่ายกักกันนาซี หรือการฟื้นตัวของเมืองฮิโรชิม่า เพื่อชี้ให้เห็นว่า Resilience ไม่ใช่แค่โชคช่วย แต่เกิดจากองค์ประกอบ 3 อย่างที่ฝึกฝนกันได้

1. ยอมรับความจริงอย่างที่เป็น: การมองโลกในแง่ดี (Optimism) เป็นเรื่องดี แต่การมองโลกในแง่ดีแบบเพ้อฝัน อาจเป็นภัยมหันต์ในยามวิกฤต คนที่มี Resilience สูง จะมองเห็น ความจริงอันโหดร้าย และประเมินสถานการณ์ตามจริง เพื่อเตรียมรับมือกับกรณีที่เลวร้ายที่สุด ต้องจำไว้ว่า การเตรียมใจรับมือกับความเลวร้าย ดีกว่าการมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แล้วไม่ลงมือทำอะไรเลย

2. ค้นหาความหมายในวิกฤต: ชีวิตที่มีความหมาย คือชีวิตที่ทนทาน การค้นหา Sense of Purpose ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดคือกุญแจสำคัญ ดูอย่างกรณีของ Ford Motors ที่ผ่านพ้นวิกฤตสงครามและการเงินมาได้ เพราะยึดมั่นในอุดมการณ์ของ Henry Ford ที่ต้องการเปลี่ยนตลาดยานยนต์เพื่อมวลชน ค่านิยมที่แข็งแกร่งนี่แหละที่เป็นเสาหลักค้ำยันไม่ให้องค์กรหรือจิตใจเราพังทลาย

3. รู้จักพลิกแพลงและปรับตัว: นี่คือทักษะแบบ Bricolage หรือการหยิบจับสิ่งรอบตัวมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ตัวอย่างสุดคลาสสิกคือนักโทษในค่ายกักกันที่เก็บเศษลวดมาซ่อมรองเท้าเพื่อความอยู่รอด ในโลกธุรกิจก็เช่นกัน เมื่อแผน A พัง เราต้องพร้อม Improvisation หาวิธีใหม่ ๆ โดยไม่ยึดติดกับวิธีการเดิม ๆ อย่างดื้อรั้น

Gratitude พลังแห่งการขอบคุณที่ช่วยกู้ใจ

นอกจากโครงสร้างทางความคิดแล้ว การปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็สร้าง Resilience ได้ โดยเฉพาะ ความกตัญญูรู้คุณ หรือ Gratitude

เมื่อรากฐานชีวิตสั่นคลอน การมองหาสิ่งดี ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่จะช่วยซ่อมแซมรอยร้าวนั้นได้ เทคนิคง่าย ๆ ที่หนังสือแนะนำคือ

  • บันทึกเรื่องราวดี ๆ: เขียนสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นกาแฟอร่อย ๆ สักแก้ว หรือบทสนทนาดี ๆ กับเพื่อน
  • ส่งต่อความใจดี: รอยยิ้มและการให้เล็ก ๆ น้อย ๆ สร้างเครือข่ายความสุขที่แข็งแกร่ง
  • ลงทุนกับความสุข: ถ้ารู้ว่าความสุขของคุณคือการท่องเที่ยว ก็อย่ารอเกษียณ จัดสรรเวลาไปพักผ่อนซะ เพราะมันคือการชาร์จพลังที่คุ้มค่า

Feedback บททดสอบสำคัญของคนทำงาน

จุดที่วัดใจคนทำงานที่สุดจุดหนึ่งคือ การประเมินผลงาน หลายคนเสียศูนย์เมื่อเจอ Feedback ด้านลบ มองว่าเป็นการโจมตีตัวตนจนเกิดกำแพงในใจ

คนที่มี Resilience จะมอง Feedback อย่างเหนือชั้นกว่านั้น

  1. แยกแยะ: แยก เนื้องาน ออกจาก ตัวตน การที่งานมีปัญหา ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนไม่เอาไหน
  2. มองเป็นการโค้ช: เปลี่ยนมุมมองจาก คำด่า เป็น คำแนะนำ เพื่อพัฒนา
  3. วิเคราะห์ก่อนรับ: ไม่ใช่ทุก Feedback จะถูกต้องเสมอไป ลองชั่งน้ำหนักดูว่ามันสอดคล้องกับเป้าหมายของเราไหม (เหมือนพยาบาลที่ต้องเลือกระหว่างทำตามกฎเป๊ะ ๆ กับการดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายด้วยหัวใจ)
  4. ย่อยให้เล็ก: อย่ารอให้ถึงสิ้นปีค่อยรับ Feedback ก้อนโต แต่ให้ขอ Feedback เล็ก ๆ บ่อย ๆ เพื่อปรับปรุงทีละนิด จะช่วยลดแรงกดดันได้มหาศาล

การล้มของผู้นำเมื่อต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่

ไม่มีใครอยากตกงานหรือล้มเหลวในหน้าที่การงาน แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว Resilience คือสิ่งที่แยก ผู้แพ้ ออกจาก ตำนาน

ดูอย่าง Steve Jobs ที่เคยถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้าง แต่เขาก็ไม่ได้จมอยู่กับความสงสารตัวเอง เขากลับมาพร้อมความกล้าหาญ สร้างอาณาจักรใหม่ และกลับมาอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม

สำหรับคนทำงาน หากวันหนึ่งต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

  • เลือกสมรภูมิ: ประเมินว่าคุ้มไหมที่จะสู้ หรือควรถอยมาตั้งหลัก
  • สร้างพันธมิตร: Connection ที่จริงใจสำคัญกว่านามบัตรหรู ๆ
  • กู้ศักดิ์ศรี: พิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานใหม่
  • เริ่มผจญภัย: กล้าที่จะเดินในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยด้วยเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่เรื่องเงิน

Resilience ไม่ใช่การทำงานจนตัวตาย

ประเด็นที่อยากเน้นย้ำที่สุดคือเรื่อง การพักผ่อน

ในวงการ Tech และ Agency เรามักบูชาความยุ่ง เราเห็นคนทำงานโต้รุ่งเป็นฮีโร่ แต่ Shawn Achor และ Michelle Gielan ผู้เขียนร่วมในเล่มนี้เตือนสติว่า Resilience ไม่ใช่การยอมเสียสละตัวเองเพื่อความฝัน

การทำงานหนักโดยไม่พัก ไม่ใช่ความแกร่ง แต่คือการทำลายตัวเอง หรือ Burnout ความจริงที่น่าตกใจคือ ยิ่งเราทำงานต่อเนื่องนานเท่าไหร่ ประสิทธิภาพยิ่งลดลงเท่านั้น ดูอย่างประเทศเนเธอร์แลนด์ที่มีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยเพียง 29.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่กลับมี Productivity ระดับโลก

สมการที่ถูกต้องของ Resilience คือ พยายามเต็มที่ > หยุดพัก > ฟื้นฟู > พยายามใหม่

การพักผ่อนคือส่วนหนึ่งของงาน ไม่ใช่รางวัลที่ต้องรอให้งานเสร็จก่อนถึงจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการวางมือถือ, การนอนหลับให้เพียงพอ หรือการฝึก Mindfulness ทั้งหมดนี้คือการลับคมขวานให้พร้อมกลับมาฟันฝ่าอุปสรรคได้อย่างเฉียบคมขึ้น

Thumbsup มองว่า จากเรื่องราวทั้งหมด เราจะเห็นว่า Resilience ไม่ใช่พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิด แต่เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนผ่านประสบการณ์จริง ทั้งความเจ็บปวด ความผิดหวัง และความล้มเหลว

หัวใจสำคัญของการเติบโตในยุคดิจิทัลที่เราต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายตลอดเวลา คือการ ยอมรับความจริง ว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา มองหาความหมาย ในสิ่งที่ทำเพื่อเป็นเข็มทิศนำทาง และ รู้จักพัก เพื่อให้มีแรงเดินต่อในระยะยาว

จำไว้ว่า ชีวิตไม่ใช่การวิ่งสปรินท์ระยะสั้น แต่เป็นการวิ่งมาราธอน การรู้จังหวะผ่อนหนักผ่อนเบา และลุกขึ้นยืนใหม่ทุกครั้งที่ล้มด้วยจิตใจที่มั่นคง นั่นแหละคือชัยชนะที่แท้จริงของคนทำงานยุคนี้

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: