Self-Discipline in Difficult Times

ในโลกของการทำงาน โดยเฉพาะในวงการการตลาดและธุรกิจที่หมุนเร็วยิ่งกว่าพายุทอร์นาโด เราถูกสอนมาเสมอว่า Speed is King ใครขยับก่อนได้เปรียบ ใครหยุดคือแพ้ เมื่อเจอปัญหาต้องรีบแก้ ต้องรีบ Action ทันที แต่เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางครั้งยิ่งเรารีบแก้ ปัญหายิ่งพันกันยุ่งเหยิงกว่าเดิม?

วันนี้ Thumbsup อยากชวนทุกคนวางมือจากงานตรงหน้า ปิดแจ้งเตือน Slack สักครู่ แล้วมาดำดิ่งไปกับชุดความคิดจากหนังสือ Self-Discipline in Difficult Times ของ Martin Meadows หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่ How-to ของการฝึกวินัยธรรมดา แต่มันคือคัมภีร์การเอาตัวรอดทางอารมณ์ แก้ไขคนที่ชอบ ลนลาน เวลาเจอปัญหา และบอกเราว่า ในวันที่มืดมนที่สุด วินัย ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การบังคับตัวเองให้ทำงานหนัก แต่คือวินัยในการ บังคับตัวเองให้หยุดพักและไตร่ตรอง

บทความนี้จะพาไปเจาะลึก 5 แก่นสำคัญจากหนังสือ ที่จะเปลี่ยน Mindset การรับมือกับวิกฤตของคุณไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ธุรกิจ หรือเรื่องส่วนตัว

Self-Discipline in Difficult Times

กับดักมรณะของคนทำงานยุคใหม่

เคยเป็นไหม? พอโปรเจกต์ล่ม ลูกค้าด่า หรือยอดขายตก สิ่งแรกที่ทำคือเรียกประชุมด่วน สั่งแก้แผน รื้อโครงสร้าง หรืออัดงบโฆษณาเพิ่มทันที

Martin Meadows ชี้ให้เห็นว่า นี่คือหายนะ ความพยายามที่จะ Move on หรือก้าวไปข้างหน้าในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นสำคัญก็จริง แต่ จังหวะเวลา สำคัญยิ่งกว่า

เมื่อโลกของคุณหมุนคว้าง (ไม่ว่าจะจากวิกฤตเศรษฐกิจ ตกงาน หรือสูญเสียคนรัก) สมองของคุณจะไม่ได้อยู่ในสภาวะที่พร้อมตัดสินใจ การรีบร้อน Take Action ที่รุนแรงและรวดเร็วทันทีเปรียบเสมือนการพยายามวิ่งทั้งที่ขาหัก ผลลัพธ์ที่ได้มักจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดและสร้างความเสียหายระยะยาว

วินัยข้อแรกในยามวิกฤต คือ วินัยในการไม่ทำอะไรเลย ฟังดูขัดใจคนทำงานสาย Performance แต่คุณต้องกล้าที่จะให้เวลากับความสับสน ยอมรับสถานการณ์ และอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกเจ็บปวดหรือผิดหวัง การนิ่งเพื่อประเมินสถานการณ์ไม่ใช่ความขี้เกียจ แต่มันคือ การตั้งหลัก เพื่อให้ก้าวต่อไปมั่นคงกว่าเดิม

หลอกสมองให้รู้สึกดี ด้วยชัยชนะเล็ก ๆ

แน่นอนว่าเราจะนิ่งตลอดไปไม่ได้ แต่ครั้นจะให้ลุกขึ้นมาปฏิวัติองค์กรหรือวางแผนกลยุทธ์ 5 ปี ในวันที่สภาพจิตใจย่ำแย่ก็คงเป็นไปไม่ได้ Martin Meadows เสนอแนวคิดที่น่าสนใจมากสำหรับชาว Productivity Hack นั่นคือ Restorative Productivity

ในวันที่คุณรู้สึกว่าควบคุมอะไรไม่ได้เลย ให้หยุดโฟกัสเรื่องใหญ่ แล้วหันมาโฟกัสเรื่องเล็ก ๆ ที่คุณ ควบคุมได้ 100% แทน การสร้างวินัยในพาร์ทนี้ไม่ใช่การบังคับให้ทำเรื่องยาก แต่คือการหลอกสมองให้หลั่งสารความสุข หรือ Endorphins ผ่านการทำสิ่งง่าย ๆ ให้สำเร็จ ลองทำเรื่องเหล่านี้ดูสิ

  • To-do list ที่ไร้สาระแต่ได้ผล: เขียนสิ่งที่ต้องทำง่าย ๆ เช่น ลบรูปเก่าในมือถือ, จัดโต๊ะทำงาน หรือตอบอีเมลที่ไม่สำคัญ 3 ฉบับ
  • Small Wins: เมื่อคุณติ๊กถูกในแต่ละข้อ สมองจะเริ่มเรียนรู้ว่า เฮ้ย เรายังมีความสามารถในการจัดการอยู่นี่นา ความมั่นใจเล็ก ๆ นี้แหละที่จะเป็นเชื้อเพลิงให้คุณเริ่มกลับมาจัดการปัญหาใหญ่ได้

สำหรับนักการตลาด นี่เหมือนการทำ A/B Testing กับจิตใจตัวเอง เริ่มจากแคมเปญเล็ก ๆ (งานบ้าน/งานจุกจิก) ให้ชนะก่อน แล้วค่อยสเกลไปสู่แคมเปญใหญ่ (การแก้ปัญหาวิกฤต)

เปลี่ยน “ความรู้สึก” เป็น “ข้อมูล”

บทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดมักสอนเราได้ดีที่สุดเสมอ แต่ปัญหาส่วนใหญ่คือเรามักจะจมอยู่กับ อารมณ์ (ทำไมต้องเป็นเรา? แย่แน่ ๆ) จนมองไม่เห็น ข้อมูล

หนังสือเล่มนี้แนะนำให้เราใช้เวลาตกผลึกและทำ Reframing เมื่ออารมณ์เริ่มนิ่งลง ลองมองปัญหาในมุมใหม่

  • การถูกให้ออก อาจหมายถึงโอกาสในการเริ่มทำธุรกิจที่ฝันไว้
  • แคมเปญที่ล้มเหลว อาจเป็น Data ชั้นดีที่บอกว่าลูกค้า ไม่ต้องการ อะไร
  • การสูญเสีย อาจทำให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เหลืออยู่ชัดเจนขึ้น

Martin Meadows ย้ำว่า วินัย ในบริบทนี้ คือความสามารถในการควบคุมความคิด ไม่ให้ไหลไปตามกระแสดราม่า แต่ให้ดึงกลับมามองหา Hidden Blessing หรือข้อดีที่ซ่อนอยู่ มันไม่ใช่การโลกสวยแบบ Toxic Positivity แต่มันคือการมองหา ทรัพยากร ที่เหลืออยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง เพื่อใช้ในการสร้างใหม่

เตรียมตัวให้พร้อม “ก่อน” พายุจะมา

ทำไมบางบริษัทล้มแล้วลุกไว แต่บางบริษัทล้มแล้วหายไปเลย? คำตอบอยู่ที่การฝึกฝนในช่วงเวลาปกติ

Martin Meadows เปรียบเทียบว่า เราไม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ในวันที่ต้องยกของหนัก เราต้องสร้างมันไว้ก่อนหน้านั้น แนวคิดนี้คือการฝึก Self-Discipline ด้วยการพาตัวเองออกจาก Comfort Zone ในวันที่ทุกอย่างยังปกติดี

  • ฝึกทำสิ่งที่กลัว: ลองเสนอไอเดียที่คิดว่าจะโดนปัดตก, ลองเรียนรู้สกิลที่ไม่ถนัด
  • ฝึกอยู่กับความลำบาก: ลอง Fasting, ลองทำงานโดยไม่มีเครื่องมืออำนวยความสะดวก

การพาตัวเองไปสัมผัสความเครียดในระดับที่ควบคุมได้จะช่วยสร้าง ภูมิคุ้มกันทางใจ เมื่อวิกฤตของจริงมาถึง คุณจะไม่ตระหนกเท่าคนอื่น เพราะสมองคุณคุ้นชินกับความกดดันแล้ว ในมุมมองธุรกิจ นี่คือการทำ Scenario Planning หรือ Crisis Management Drill นั่นเอง

วินัยในการ “หยุดตัดสิน” ผู้อื่น

บทสุดท้ายที่หนังสือเล่มนี้ฝากไว้ และสำคัญมากสำหรับการเป็นผู้นำ คือการจัดการกับความทุกข์ของคนอื่น

เมื่อทีมงาน หรือคนรอบข้างเจอปัญหา สัญชาตญาณเรามักจะอยากกระโดดเข้าไป ซ่อม หรือพูดคำปลอบใจกว้าง ๆ อย่าง ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น Martin Meadows บอกว่า นั่นคือสิ่งที่แย่ที่สุด

วินัยที่ยากที่สุดคือการ หุบปากและรับฟัง

  • อย่าตัดสินปัญหาของเขาด้วยแว่นตาของเรา
  • อย่าใช้คำพูดลอย ๆ
  • ยอมรับความจริงร่วมกับเขาว่า เออ เรื่องนี้มันแย่จริง ๆ ว่ะ

การเป็นเพื่อนคู่คิด หรือหัวหน้าทีมที่ดีในยามวิกฤต ไม่ใช่คนที่บอกทางออกได้ทันที แต่เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกว่า เขาไม่ได้สู้อยู่คนเดียว การหมั่นเช็คอินความรู้สึกทีมงาน จึงเป็นวินัยที่ผู้นำต้องทำ ไม่ใช่รอให้เขาเดินมาบอกว่า ผมไม่ไหวแล้ว

Thumbsup มองว่า การอ่าน Self-Discipline in Difficult Times ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่า ในสมรภูมิธุรกิจและการใช้ชีวิตยุคปัจจุบัน ความแข็งแกร่งไม่ได้วัดกันที่ว่าใครวิ่งได้เร็วที่สุด แต่คือใครที่ ล้มแล้วตั้งหลักได้ฉลาดที่สุด

วินัยในยุคก่อนอาจหมายถึงการตื่นเช้า ทำงานหนัก ไม่บ่น แต่วินัยในยุคที่โลกผันผวนนี้ คือความสามารถในการ

  1. Stop: หยุดเพื่อครองสติ ไม่ให้ Emotion นำ Action
  2. Heal: อนุญาตให้ตัวเองพักเพื่อชาร์จพลัง
  3. Refocus: เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ที่ควบคุมได้
  4. Rebuild: มองหาโอกาสในวิกฤตและสร้างใหม่

สุดท้ายนี้ อยากฝากไว้ว่า ถ้าวันนี้คุณกำลังเจอเรื่องหนักหนา อย่าเพิ่งรีบวิ่ง นั่งลงก่อน หายใจลึก ๆ ดื่มกาแฟแก้วโปรด แล้วค่อย ๆ ขีดฆ่า To-do list ทีละข้ออย่างใจเย็น วินัยที่แท้จริงคือความเมตตาต่อตัวเองในวันที่โลกใจร้าย

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: