ในโลกของการทำงานและการใช้ชีวิต เรามักถูกสอนให้เป็น ผู้ให้ เป็นคนที่คอยซัพพอร์ตทีม เป็นหัวหน้าครอบครัวที่เสียสละ หรือเป็นคนรักที่แสนดีที่พร้อมจะอุ้มชูอีกฝ่ายในวันที่ล้มลง ฟังดูเหมือนเป็น Ideal Profile ของคนคุณภาพใช่ไหม? แต่เดี๋ยวก่อน… เส้นบาง ๆ ระหว่าง ความหวังดี กับ โรคเสพติดการพึ่งพา หรือ Codependency อาจกำลังทำให้คุณพังไม่รู้ตัว
วันนี้ Thumbsup จะพามาเจาะลึกหนังสือ Codependent No More ของ Melody Beattie ที่จะมาเรียกสติพวกเราแรง ๆ หนึ่งทีว่า การทุ่มเทเพื่อคนอื่นจนลืมตัวเอง ไม่ใช่ความรัก แต่มันคือ Defect หรือข้อบกพร่องของระบบพฤติกรรมที่เราต้องรีบ Debug ก่อนที่ระบบชีวิตจะล่มสลาย

เมื่อความรักกลายเป็น “ภาระ” ที่วางไม่ลง
Codependency หรือ ภาวะพึ่งพาทางใจ ไม่ใช่แค่เรื่องของความรักหนุ่มสาว แต่มันคือ โรคทางครอบครัว ที่ส่งต่อผ่านพันธุกรรมทางพฤติกรรม ลองจินตนาการถึงคนที่โตมาในบ้านที่มีพ่อติดเหล้า แม่เป็นโรคซึมเศร้า หรือพี่น้องติดการพนัน เด็กคนนั้นจะเรียนรู้ที่จะ ปรับตัว เพื่อความอยู่รอด เช่น ลูกสาวที่ต้องย่องเบา ๆ เวลาพ่อเมากลับบ้าน หรือน้องชายที่ต้องคอยตามเช็ดตามล้างหนี้สินให้พี่สาว
เมื่อโตขึ้น Pattern นี้ไม่ได้หายไปไหน แต่มันถูกฝังลงในจิตใต้สำนึก คนกลุ่มนี้จะกลายเป็น นักกู้ภัย ที่อุทิศชีวิตเพื่อเปลี่ยนแปลง หรือ รักษา คนรักที่มีปัญหา พวกเขารักที่จะแก้ไข แบกรับ และยอมถูกกระทำ โดยเชื่อลึก ๆ ว่า ถ้าฉันพยายามมากพอ เขาจะเปลี่ยน
แต่ความจริงที่เจ็บปวดคือ ความรักแบบนี้มักถักทอด้วยความเกลียดชัง ความขุ่นเคือง และความผิดหวัง ผู้ที่มีภาวะ Codependent จะรู้สึกเหนื่อยล้าและถูกหักหลัง เพราะพวกเขา ลงทุน ด้วยพลังชีวิตทั้งหมดไปกับคนอื่น แต่ได้ ผลตอบแทน กลับมาเป็นศูนย์ หรือติดลบ
ทำไมเราถึงวนกลับไปหา “ความเจ็บปวด” เดิม ๆ
ในเชิงจิตวิทยาพฤติกรรม นี่คือ System Error ที่น่าสนใจ มนุษย์เรามีแนวโน้มจะวิ่งหา ความคุ้นเคย มากกว่า ความสุข
ถ้าคุณโตมากับการต้องดูแลแม่ที่ป่วยทางจิต คุณจะรู้สึกว่าการถูกต้องการคือเครื่องยืนยันคุณค่าในตัวเอง คุณจะรู้สึกผิดถ้าต้องทำอะไรเพื่อตัวเอง และรู้สึกไร้ค่าถ้าไม่ได้ช่วยเหลือใคร ดังนั้น เมื่อโตขึ้น คุณจึงมักดึงดูดเข้าหาพาร์ทเนอร์ที่มีปัญหา เพราะมันกระตุ้นให้คุณได้ใช้สกิลเดิม ๆ ที่ถนัด คือการ ซ่อมแซมคนอื่น
จิตใจของเราตีความว่า ความเจ็บปวดที่คุ้นเคย ปลอดภัยกว่า ความสุขที่ไม่รู้จัก นี่คือเหตุผลที่หลายคนไม่ยอมเดินออกจากความสัมพันธ์แย่ ๆ ไม่ใช่เพราะรักมาก แต่เพราะระบบปฏิบัติการในสมองมันสั่งให้คุณรักษาสภาพที่เป็นอยู่นี้ไว้
ผลประโยชน์แอบแฝงของการเป็น “เหยื่อ”
ประเด็นนี้อาจจะแทงใจดำที่สุด Beattie ชี้ให้เห็นว่า คนที่เป็น Codependent มักมองว่าตัวเองเป็น เหยื่อ ที่น่าสงสาร บ่นว่าเหนื่อยที่ต้องดูแลคนอื่น บ่นว่าแฟนไม่เอาไหน แต่ลึก ๆ แล้ว พวกเขากลับได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้
มันคือ Secondary Gain หรือผลประโยชน์ทับซ้อนทางจิตใจ การได้ดูแลใครสักคนทำให้พวกเขารู้สึก มีอำนาจ และ มีความหมาย ลองนึกภาพภรรยาที่บ่นเรื่องสามีขี้แพ้ แต่ลึก ๆ เธอกลัวว่าถ้าวันหนึ่งสามีประสบความสำเร็จและยืนได้ด้วยตัวเอง เขาอาจจะไม่ต้องการเธออีกต่อไป
ความสัมพันธ์แบบนี้จึงเป็นเหมือนการเลี้ยงไข้ เลี้ยงปัญหาไว้ เพื่อให้ตัวเองยังมีบทบาทเป็น The Fixer ต่อไป มันคือการใช้พฤติกรรม Codependent เป็นกลยุทธ์ เพื่อหลีกหนีการเผชิญหน้ากับปมด้อยในใจตัวเอง เพราะถ้าไม่ต้องไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน เราก็ต้องหันกลับมามองความว่างเปล่าในใจเราเอง ซึ่งนั่นน่ากลัวกว่าเยอะ
กลับมาโฟกัสที่ “Source Code” ของตัวเอง
ข่าวดีคือ Codependency ไม่ใช่คำสาป แต่มันแก้ได้ การจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ ต้องใช้ความกล้าหาญระดับ Disruptive Change
- Detachment (การแยกแยะทางอารมณ์): นี่ไม่ใช่การเลิกยุ่งหรือเลิกช่วย แต่คือการขีดเส้นแบ่ง (Boundaries) ที่ชัดเจน คุณต้องตระหนักว่า “เราควบคุมได้แค่ตัวเรา” ชีวิตคนอื่นคือความรับผิดชอบของเขา การปล่อยให้เขาล้มบ้าง ให้เขาเผชิญผลของการกระทำตัวเองบ้าง นั่นต่างหากคือความรักที่แท้จริง ไม่ใช่การเข้าไปสปอยล์จนเขาเสียคน
- Act, Don’t React (ลงมือทำ ไม่ใช่แค่ตอบโต้): คนที่เป็น Codependent มักใช้ชีวิตแบบ Reaction คือรอให้อีกฝ่ายทำอะไรมา แล้วค่อยรู้สึกดีหรือแย่ตามนั้น เราต้องเปลี่ยนมาเป็น Proactive กำหนดอารมณ์และเป้าหมายของตัวเอง อย่าให้รีโมทคอนโทรลความสุขไปอยู่ในมือคนอื่น
- ฟังเสียง Inner Child (เด็กน้อยในใจ): บ่อยครั้งที่พฤติกรรมนี้เกิดจากเด็กในตัวเราที่กำลังร้องหาความรัก ต้องกลับไปคุยกับเขา ทำความเข้าใจ และให้อภัยตัวเอง การเขียนระบายความโกรธ เช่น เขียนจดหมายแต่ไม่ต้องส่ง หรือการคุยกับตัวเองหน้ากระจก เป็นวิธีเยียวยาที่ดีมาก
- อนุญาตให้ตัวเอง “โกรธ” ได้: คนกลุ่มนี้มักกดความโกรธไว้เพราะกลัวไม่เป็นคนดี ต้องเปลี่ยน Mindset ใหม่ว่า ความโกรธคืออารมณ์ธรรมชาติ การพูดว่า ฉันโกรธเพราะ… คือการสื่อสารที่ Healthy และเป็นการกู้คืนอำนาจในการจัดการอารมณ์ตัวเอง
Thumbsup มองว่า การหายจาก Codependency ไม่ได้แปลว่าต้องเลิกกับแฟนหรือทิ้งครอบครัว แต่มันคือการ Re-positioning ตัวเองใหม่ จากที่เคยเอาคนอื่นเป็นศูนย์กลางจักรวาล (Customer Centric จนลืม Product ตัวเอง) ให้กลับมาเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
จำไว้ว่า คุณไม่สามารถเทน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่าได้ การดูแลตัวเองไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่เป็นความรับผิดชอบสูงสุดที่คุณมีต่อโลกใบนี้ เพราะเมื่อคุณมีความสุข มั่นคง และเต็มเปี่ยม คุณถึงจะสามารถมอบความรักที่มีคุณภาพให้กับคนอื่นได้อย่างแท้จริง
บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ใช้แค่กับความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ยังประยุกต์ใช้ได้กับการทำงานและการบริหารทีม เลิกเป็นผู้นำที่แบกทุกอย่าง หรือ Micromanagement แต่จงเป็นผู้นำที่ Empower ให้คนอื่นเติบโตด้วยขาของเขาเอง นั่นคือความยั่งยืนที่แท้จริง
อ่านเพิ่มเติม



