เราอยู่ในยุคที่สังคมตะโกนใส่หน้าเราตลอดเวลาว่า ต้องคิดบวกนะ, ต้องมีความสุขสิ, ต้องรวยกว่านี้ และ ต้องเก่งกว่านี้ หันไปทางไหนในฟีดโซเชียลมีเดีย เราก็จะเจอแต่ไลฟ์โค้ชและหนังสือ How-to ที่พยายามบอกให้เราโฟกัสในสิ่งที่เรา ขาด
ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่รวยพอ คุณก็จะมองหาวิธีหาเงินเพิ่ม ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองหน้าตาไม่ดี คุณก็จะพยายามยืนหน้ากระจกแล้วสะกดจิตตัวเองว่าฉันสวยหล่อ ทั้งหมดนี้มันคือการตอกย้ำปมด้อยที่เรามี และพยายามถมมันให้เต็มด้วยความคาดหวังที่ไม่มีวันสิ้นสุด
วันนี้ Thumbsup อยากชวนทุกคนมาวางถุงกาวแห่งความโลกสวยลงก่อน แล้วมาทำความเข้าใจปรัชญาที่ดูเหมือนจะขวางโลกแต่ จริงใจ ที่สุดจากหนังสือ The Subtle Art of Not Giving a F*ck ของ Mark Manson หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้เราเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง แต่สอนให้เรารู้จัก เลือก ที่จะแคร์เฉพาะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ และกล้าที่จะ ช่างแม่ง กับสิ่งไร้สาระที่ถ่วงความเจริญของชีวิต
บทความนี้ยาวหน่อย แต่รับรองว่าอ่านจบแล้ว มุมมองต่อความทุกข์และความสุขของคุณจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

กับดักของความสุขและวงจรอุบาทว์
เคยไหม? รู้สึกกังวลเรื่องงาน แล้วก็เริ่มกังวลว่า ทำไมฉันถึงกังวลขนาดนี้นะ พอโกรธใครสักคน ก็รู้สึกผิดที่ตัวเองโกรธ หรือพอเศร้า ก็โทษตัวเองว่าทำไมไม่เข้มแข็ง Mark Manson เรียกภาวะนี้ว่า The Feedback Loop from Hell หรือวงจรอุบาทว์แห่งการป้อนกลับ
มนุษย์เรามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบแคร์มากเกินไปในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เราแคร์สายตาคนอื่น แคร์ยอดไลก์ แคร์ว่าคนจะมองเรายังไง จนทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองซ้ำซ้อน ทางแก้ของเรื่องนี้มันกำปั้นทุบดินมาก คือ ช่างแม่ง กับความรู้สึกแย่ ๆ เหล่านั้นซะ
การรู้สึกแย่ หดหู่ หรือกังวล เป็นเรื่อง ปกติ ของมนุษย์ มันโอเคมาก ๆ ที่จะรู้สึกไม่โอเค การที่เราไปกดดันตัวเองว่าต้องมีความสุขตลอดเวลา นั่นแหละคือตัวการที่ทำให้เราทุกข์ยิ่งกว่าเดิม ความเป็นผู้ใหญ่ ที่แท้จริง คือความสามารถในการแยกแยะว่า อะไรคือสิ่งที่ควรค่าแก่การแคร์ และอะไรที่ควรปล่อยผ่าน เมื่อเราเลิกแคร์เรื่องหยุมหยิม เราถึงจะมีพื้นที่สมองเหลือไปโฟกัสในสิ่งที่สำคัญจริง ๆ
ความสุขคือการแก้ปัญหา ไม่ใช่การหนีปัญหา
เรามักถูกปลูกฝังว่า ความสุขคือเป้าหมายปลายทาง คือรางวัลที่รออยู่เมื่อเราประสบความสำเร็จ แต่ความจริงแล้ว ความสุขคือกิจกรรม มันไม่ใช่ของขวัญที่หล่นมาจากฟ้า และไม่มีอยู่ในหนังสือ How-to เล่มไหน
ชีวิตคือการแก้ปัญหา ไม่ว่าคุณจะรวยล้นฟ้าหรือจนตรอก ปัญหาก็ยังคงอยู่เสมอ แค่เปลี่ยนรูปแบบไป การที่คุณพยายามหนีความเจ็บปวดหรือความลำบาก จะยิ่งทำให้คุณห่างไกลจากความสุข เพราะความเจ็บปวดมีหน้าที่ของมัน เหมือนเวลาเราเตะขอบโต๊ะ ความเจ็บปวดทางกายบอกให้เรารู้ว่าตรงนี้อันตราย ความเจ็บปวดทางใจก็เช่นกัน มันส่งสัญญาณบอกว่าชีวิตเรามีบางอย่างต้องแก้ไข
ดังนั้น อย่าถามตัวเองว่า ฉันอยากได้ความสุขแบบไหน? แต่ให้ถามว่า ฉันยินดีที่จะรับความทุกข์แบบไหน? หรือ ปัญหาแบบไหนที่ฉันสนุกที่จะแก้มัน?
คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ไม่ใช่คนที่นั่งรอความสำเร็จ แต่เป็นคนที่ เอนจอย กับกระบวนการที่ยากลำบากเหล่านั้น นักกีฬาที่ได้เหรียญทอง ไม่ได้รักแค่ตอนรับเหรียญ แต่เขารักช่วงเวลาที่ซ้อมหนักเจียนตาย ถ้าคุณอยากได้รางวัล แต่ไม่อยากเหนื่อยกับกระบวนการ คุณไม่มีทางไปถึงจุดนั้นได้
เลิกหลอกตัวเองว่า “ฉันมันคนพิเศษ”
ยุคหนึ่งเราเห่อเรื่อง Self-Esteem หรือการเห็นคุณค่าในตัวเองกันมาก เราถูกสอนให้เชื่อว่าเราทุกคนเป็นคนพิเศษ เราต้องรู้สึกดีกับตัวเองตลอดเวลา แต่ Mark Manson ย้ำเราด้วยความจริงที่ว่า เราทุกคนล้วนธรรมดา
การพยายามบอกว่าตัวเองพิเศษทั้งที่ไม่มีผลงานอะไรมารองรับ เป็นแค่การหลอกตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น สังคมยุคนี้ที่ใคร ๆ ก็อวดชีวิตดี ๆ บนโซเชียลมีเดีย ทำให้คำว่า ธรรมดา หรือ กลาง ๆ กลายเป็นคำหยาบคาย กลายเป็นความล้มเหลว ทั้งที่ในความจริง คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ก็คือคนธรรมดา และชีวิตส่วนใหญ่ของเราก็น่าเบื่อ
ข่าวดีคือ ทันทีที่คุณยอมรับได้ว่า ฉันก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง คุณจะปลดล็อกตัวเองจากความกดดันมหาศาล คุณไม่ต้องแบกโลกทั้งใบ ไม่ต้องพิสูจน์ให้ใครเห็นว่าคุณเจ๋ง พอความกดดันหายไป คุณจะมีอิสระในการทำสิ่งที่อยากทำจริงๆ และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตัวเองที่แท้จริง คนที่เก่งระดับโลกส่วนใหญ่ ไม่ได้เริ่มจากการคิดว่าตัวเองวิเศษ แต่เริ่มจากการรู้ว่าตัวเองยังไม่เก่ง และพยายามพัฒนาตัวเองวันละนิดต่างหาก
หัวหอมแห่งความตระหนักรู้
การเข้าใจตัวเองก็เหมือนการปอกหัวหอม มีหลายชั้น และยิ่งปอกลึกเท่าไหร่ น้ำตาก็ยิ่งไหล
- ชั้นแรก: รู้ทันอารมณ์ตัวเอง (ตอนนี้ฉันโกรธ, ตอนนี้ฉันเศร้า)
- ชั้นที่สอง: ถามหาที่มาของอารมณ์ (ทำไมฉันถึงโกรธ? เพราะเขางั้นเหรอ หรือเพราะฉันคาดหวัง?)
- ชั้นที่สาม: ตรวจสอบคุณค่าของตัวเอง นี่คือชั้นที่สำคัญที่สุด ถามตัวเองว่า ทำไมฉันถึงมองเรื่องนี้ว่าเป็นปัญหา?
สมมติคุณโกรธเพื่อนร่วมงานที่กลับบ้านตรงเวลาในขณะที่คุณทำงานดึก ชั้นแรกคือคุณโกรธ ชั้นสองคือเพราะงานมันไม่เสร็จ แต่ชั้นที่สาม ค่านิยมของคุณอาจจะคือ ความสำเร็จวัดที่จำนวนชั่วโมงทำงาน ซึ่งถ้านั่นคือมาตรวัดของคุณ คุณก็จะทุกข์ตลอดไป
การเปลี่ยนค่านิยม และนิยามความสำเร็จ/ล้มเหลว คือหัวใจสำคัญ หากคุณวัดความสำเร็จด้วย การเป็นที่หนึ่ง คุณจะล้มเหลวเกือบตลอดชีวิต แต่ถ้าคุณวัดความสำเร็จด้วย การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ คุณจะประสบความสำเร็จได้ทุกวันไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ไหน
อำนาจอยู่ในมือคุณเสมอ
ประโยคทองของหนังสือเล่มนี้คือ มันอาจไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่มันเป็นความรับผิดชอบของคุณเสมอ
หลายคนชอบเอา ความผิด กับ ความรับผิดชอบ มาปนกัน
- ถ้าเจ้านายสั่งงานงี่เง่า มันคือ ความผิด ของเจ้านาย
- แต่การที่คุณต้องจัดการกับงานนั้น หรือเลือกที่จะลาออก หรือเลือกที่จะเครียด มันคือ ความรับผิดชอบ ของคุณ
เราไม่สามารถเลือกไพ่ที่ชีวิตแจกให้ได้ แต่เราเลือกได้เสมอว่าจะเล่นไพ่ในมือนั้นอย่างไร การโยนความผิดให้คนอื่นอาจทำให้รู้สึกสบายใจชั่วคราว แต่มันทำให้คุณสูญเสียอำนาจในการควบคุมชีวิตตัวเอง ทันทีที่คุณยอมรับว่า โอเค เรื่องนี้มันแย่ แต่ฉันจะจัดการมันยังไงดี นั่นคือวินาทีที่คุณเริ่มเติบโต
ความสำเร็จเกิดจากความล้มเหลว
ในโลกการทำงาน เรามักกลัวความล้มเหลว แต่ความจริงคือ ความสำเร็จแปรผันตรงกับจำนวนครั้งที่คุณล้มเหลว เด็กหัดเดินล้มเป็นร้อยครั้งแต่ไม่เคยคิดว่า ฉันคงไม่เหมาะกับการเดิน แต่พอโตขึ้น เรากลับกลัวที่จะล้ม
ถ้าคุณกำลังติดขัด ไม่รู้จะทำยังไง หมดไฟ Mark Manson แนะนำ Do Something Principle
คนส่วนใหญ่รอให้มี แรงบันดาลใจ ก่อน ถึงจะมี แรงจูงใจ แล้วค่อย ลงมือทำ
แต่จริง ๆ แล้วลูปนี้มันหมุนได้ทุกทาง Action -> Inspiration -> Motivation
ถ้าคิดอะไรไม่ออก ให้เริ่มทำอะไรก็ได้ เล็ก ๆ น้อย ๆ ขยับตัว เขียนลงไปหนึ่งประโยค ตอบอีเมลหนึ่งฉบับ การกระทำนั้นแหละจะส่งผลสะท้อนกลับมาสร้างแรงบันดาลใจให้คุณทำต่อเอง อย่ารอให้พร้อม เพราะคุณจะไม่มีวันพร้อม
ความตายและการปฏิเสธ
สุดท้าย การจะใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย คุณต้องรู้จัก ปฏิเสธ
การที่คุณพยายามตอบรับทุกอย่าง พยายามเป็นคนดีสำหรับทุกคน เท่ากับว่าคุณไม่มีจุดยืนอะไรเลย การเลือกทำสิ่งหนึ่ง คือการปฏิเสธสิ่งอื่นโดยปริยาย ยิ่งคุณปฏิเสธสิ่งที่ไม่สำคัญได้มากเท่าไหร่ คุณยิ่งมีเวลาให้สิ่งที่สำคัญมากเท่านั้น
และสิ่งที่ทำให้เราเห็นความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนที่สุดคือ ความตาย
การระลึกว่าสักวันเราต้องตาย ไม่ใช่เรื่องอัปมงคล แต่มันคือเครื่องเตือนสติที่ดีที่สุด ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย เรื่องดราม่าในออฟฟิศยังสำคัญอยู่ไหม? ยอดไลก์ยังสำคัญไหม? ความตายช่วยกลั่นกรองให้เหลือแต่สิ่งที่ จริง สำหรับเราเท่านั้น
Thumbsup มองว่า หนังสือ The Subtle Art of Not Giving a Fck* ไม่ได้บอกให้เราเป็นคนหยาบคายหรือไม่รับผิดชอบสังคม แต่สอนให้เราบริหารทรัพยากรที่มีค่าที่สุด นั่นคือ ความสนใจ ของเรา ในฐานะคนทำงานและนักเรียนรู้ตลอดชีวิต เรามักตกหลุมพรางของการอยากได้ อยากมี และอยากเป็นไปเสียทุกอย่าง จนลืมไปว่า Less is More คือสัจธรรม
เลิกแคร์ว่าคนอื่นจะมองว่าคุณธรรมดา เลิกแคร์อารมณ์ดราม่าที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วหันมาแคร์ ปัญหา ที่คุณเต็มใจจะแก้ แคร์คนรอบข้างที่สำคัญจริง ๆ และแคร์เป้าหมายที่สอดคล้องกับค่านิยมของคุณเอง
ลองเริ่มตั้งแต่วันนี้… หัดพูดคำว่า ช่างแม่ง กับเรื่องไร้สาระดูบ้าง แล้วคุณจะพบว่าชีวิตเบาลงเยอะเลย
อ่านเพิ่มเติม


