การต่อสู้กับสภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และดูเหมือนว่าสิงคโปร์กำลังเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ในระดับที่ “ท้าทาย” ความรู้สึกของคนทั้งประเทศ
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา รัฐบาลสิงคโปร์ โดยกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (MSE) และสภาอาคารสีเขียวสิงคโปร์ (SGBC) ได้เปิดตัวแคมเปญระดับชาติในชื่อ “Go 25” นี่ไม่ใช่แค่การรณรงค์ให้ “ปิดไฟเมื่อไม่ใช้” แต่มันคือการ “ขอ” ให้ทุกบ้าน ทุกออฟฟิศ ทุกอาคาร ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไปอยู่ที่ 25 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่านั้น
เป้าหมายนั้นชัดเจนและยิ่งใหญ่นั่นคือต่อสู้กับปัญหา “Overcooling” หรือการเปิดแอร์เย็นเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ฝังรากลึกในสังคมเมืองร้อนอย่างสิงคโปร์
ตัวเลขที่รัฐบาลนำมาเปิดเผยนั้นน่าตกใจไม่น้อย เช่น อาคารต่าง ๆ เป็นผู้ปล่อยคาร์บอนถึง 20% ของทั้งประเทศ และ “เครื่องปรับอากาศ” คือตัวการหลักในการใช้พลังงานในอาคารเหล่านั้น การ Overcooling ไม่เพียงแต่สูบพลังงานมหาศาล แต่มันยังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และซ้ำเติมปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island) ให้เลวร้ายลง
พูดง่าย ๆ คือ ยิ่งเปิดแอร์เย็น เมืองก็ยิ่งร้อน พอเมืองร้อน เราก็ยิ่งต้องเปิดแอร์ให้เย็นขึ้นอีก… มันคือ “วงจรอุบาทว์” ที่สิงคโปร์ประกาศว่าจะต้องทุบทำลายให้ได้

“Data-Backed” อาวุธที่รัฐบาลใช้ในการโน้มน้าว
แน่นอนว่าการจะเปลี่ยนพฤติกรรมระดับชาตินี้ จะมาพูดลอย ๆ คงไม่มีใครฟัง รัฐบาลสิงคโปร์จึงเตรียมการบ้านมาอย่างดี โดยเฉพาะการใช้ “ข้อมูล” มายืนยันว่า 25°C นั้น “เวิร์ค”
พวกเขาอ้างอิงผลการศึกษาจาก Ngee Ann Polytechnic’s Centre for Environmental Sustainability (CfES) ที่ชี้ว่า การปรับอุณหภูมิแอร์จาก 23°C ไปเป็น 25°C สามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 12% ต่อองศาที่เพิ่มขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ ผลการศึกษา “ไม่พบการรายงานความรู้สึกอึดอัดที่เพิ่มขึ้น” จากกลุ่มตัวอย่าง
เหมือนเป็นการตบหน้าเบา ๆ ว่า “เห็นไหม 25°C มันก็ไม่ได้แย่”
เท่านั้นยังไม่พอ ในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่งาน International Green Building Conference 2025 พวกเขายังเปิดเผยผลสำรวจ “Go 25 Indoor Comfort Quiz” ที่มีคนทำถึง 5,000 คน ผลลัพธ์ที่ได้คือ “กว่าครึ่งหนึ่ง” ของผู้ตอบแบบสอบถาม พอใจกับอุณหภูมิ 24°C หรืออุ่นกว่านั้น
นี่คือการตอกย้ำว่าอุณหภูมิมาตรฐานที่ออฟฟิศส่วนใหญ่ในสิงคโปร์ชอบตั้งกันที่ 21-22°C นั้น มัน “เย็นเกินไป” สำหรับคนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ SGBC ถึงกับชี้ว่า การ Overcooling ในอาคารพาณิชย์นั้น คิดเป็น 50% ของพลังงานที่ใช้ในการทำความเย็นทั้งหมด
Grace Fu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ถึงกับออกมาให้ตัวเลขที่ “จี้ใจ” คนทำธุรกิจว่า การปรับแอร์ไปที่ 24°C หรือ 25°C ในออฟฟิศขนาด 3,000 ตารางเมตร สามารถประหยัดค่าไฟได้ถึงปีละ 6,400 ดอลลาร์สิงคโปร์
ดูเหมือนว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะถือไพ่เหนือกว่าทุกประตู ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม (ESG) มิติความประหยัด (Cost Saving) และมิติความพึงพอใจ (Comfort) ที่มี Data-backed ทั้งหมด
แต่เดี๋ยวก่อน… “เสียงกระซิบ” จากโต๊ะทำงาน
ในขณะที่รัฐบาลกำลังเฉลิมฉลองกับตัวเลขที่สวยหรู และผลักดันให้องค์กรต่างๆ เข้าร่วม “Go 25 Pledge” (คำมั่นสัญญาว่าจะทำ 25°C) ในโลกแห่งความเป็นจริง… โลกของพนักงานออฟฟิศตาดำ ๆ… “เสียงกระซิบ” กลับเริ่มดังขึ้น
กระแสในโซเชียลมีเดียและในวงสนทนาออฟฟิศ เริ่มมีการพูดถึงปรากฏการณ์ที่สวนทางกับข้อมูลของรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง
“ตั้งแต่ปรับแอร์เป็น 25°C งานมันช้าลงยังไงไม่รู้”
“รู้สึกหัวมันตื้อ ๆ คิดงานไม่ออก”
“Productivity ตกฮวบ ส่งงานไม่ครบกันเยอะขึ้นมาก”
นี่คือจุดที่น่าสนใจที่สุดใน Case Study นี้! มันคือการปะทะกันอย่างจังระหว่าง “ข้อมูลเชิงปริมาณ” (Quantitative Data) ที่รัฐบาลเก็บมา กับ “ประสบการณ์เชิงคุณภาพ” (Qualitative Experience) ที่คนทำงานรู้สึกจริง
คำถามตัวใหญ่ ๆ คือ… เกิดอะไรขึ้น? ทำไม Data กับ Reality มันสวนทางกันขนาดนี้?
วิเคราะห์ “The Gap” – ช่องโหว่ที่ไม่ได้อยู่ที่ 25°C
ในฐานะคนทำงานด้านการตลาดและเทคโนโลยี เราถูกสอนให้ “เชื่อในดาต้า” แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้อง “ตั้งคำถามกับดาต้า” ด้วยเช่นกัน
เมื่อเรากลับไปอ่านข่าวจาก The Strait Times อย่างละเอียดอีกครั้ง เราจะพบ “จิ๊กซอว์” ชิ้นสำคัญที่หล่นอยู่ และมันมาจากปากของรัฐมนตรี Grace Fu เอง
เธอยอมรับในงานเสวนาว่า ปัญหาความอึดอัดที่เกิดขึ้น อาจไม่ได้มาจากตัวเลขอุณหภูมิ 25°C โดยตรง แต่มาจาก “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” (Infrastructural Issues) ของอาคาร
“ปัญหาเกิดจากการติดตั้งระบบระบายอากาศที่ไม่เหมาะสม”
เธอชี้ให้เห็นว่า ระบบแอร์ในหลายอาคาร (โดยเฉพาะอาคารเก่า) ถูกติดตั้งแบบ “Airflow ไม่สม่ำเสมอ” มันสร้าง “Hot Spots” หรือจุดอับที่อากาศไม่ถ่ายเท ทำให้บางพื้นที่ในออฟฟิศร้อนและอับชื้น
ทีนี้ลองนึกภาพตาม เมื่อเกิดจุดอับ สิ่งที่คนในออฟฟิศทำมาตลอดคืออะไร?
…ก็คือ “กดอุณหภูมิแอร์ให้ต่ำลง”
พวกเขาตั้งแอร์ไว้ที่ 22°C หรือ 21°C ไม่ใช่เพราะอยากหนาว แต่เพื่อ “สู้” กับจุดอับ ให้ความเย็นมันฝ่าไปถึงจุดที่ร้อนที่สุดให้ได้ ผลลัพธ์คือ คนที่นั่งใกล้แอร์ก็หนาวสั่น ส่วนคนที่นั่งจุดอับก็ “แค่พอดี”
แต่ทันทีที่นโยบาย “Go 25” ถูกบังคับใช้ หายนะก็มาเยือน…
การตั้งแอร์ที่ 25°C ในระบบที่ห่วยแตกอยู่แล้ว มันทำให้จุดที่เคย “แค่พอดี” (ที่ 22°C) กลายเป็น “ร้อนอับ” ทันที ส่วนจุดที่เคยหนาวสั่นก็กลายเป็น “อุ่น”
นี่คือสิ่งที่อธิบายได้ว่าทำไม “Productivity” ถึงตกฮวบ!
เพราะนโยบาย “Go 25” ได้เปลี่ยนจาก “การรณรงค์” เป็น “การเปิดโปง” มันไปเปิดโปง “ความห่วย” ของระบบอาคารที่ถูกซ่อนไว้ใต้พรมมานานด้วยการ “กดแอร์สู้”
ไม่ใช่แค่ “อุณหภูมิ” แต่คือ “Change Management”
สิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์กำลังทำ ไม่ใช่แค่การปรับเทอร์โมสตัท แต่มันคือการบริหารการเปลี่ยนแปลง หรือ “Change Management” ที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง และดูเหมือนพวกเขาก็รู้ตัว
รัฐบาลไม่ได้แค่ “สั่ง” แต่พยายามสร้าง “เครื่องมือ” มาช่วย
- Go 25 Industry Guide: ออกคู่มือทางเทคนิคฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้จัดการอาคาร (Facilities Managers) และวิศวกร เพื่อบอกว่าการจะปรับอุณหภูมิขึ้นโดยที่คนไม่ด่า ต้องทำอย่างไรบ้าง (เช่น เช็คระบบ Airflow, การวางตำแหน่งช่องแอร์)
- Hybrid Cooling: รณรงค์ให้ใช้ “พัดลม” คู่กับแอร์ รัฐมนตรี Fu บอกว่า “แอร์ 25°C + พัดลม” จะให้ความรู้สึกเย็นสบายเหมือน “23°C” แต่ประหยัดไฟกว่ามาก
- Relaxed Dress Codes: สนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ อนุญาตให้พนักงาน “แต่งตัวสบาย ๆ” มากขึ้น (เช่น ไม่ต้องผูกไท หรือใส่สูท)
นี่คือการต่อสู้ในหลายมิติพร้อมกัน ทั้งมิติวิศวกรรม (Engineering), มิติพฤติกรรม (Behavior) และมิติวัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture)
Thumbsup มองว่า สมรภูมิ “Go 25” ของสิงคโปร์ คือ Case Study ชั้นครูที่สอนเราว่า
- Data-backed ไม่ได้แปลว่า Data-proofed: การมีข้อมูลสนับสนุนเป็นเรื่องดี แต่ต้องระวัง “ช่องว่าง” ของข้อมูลด้วย ผลสำรวจว่า “สบาย” ไม่ได้แปลว่า “ทำงานมีประสิทธิภาพ” ผลวิจัยในแล็บที่ว่า “ไม่พบการอึดอัด” อาจไม่เหมือนกับการทำงานจริง 8 ชั่วโมง
- อย่ามองข้าม Infrastructure: หลายครั้งที่นโยบาย “ซอฟต์แวร์” (เช่น กฎระเบียบ, แคมเปญ) ล้มเหลว เพราะไปชนกับ “ฮาร์ดแวร์” (เช่น ระบบอาคาร, เครื่องมือ) ที่ไม่พร้อม
- ESG vs. Employee Experience (WX): นี่คือโจทย์ใหญ่แห่งยุค การผลักดันเป้าหมาย ESG (สิ่งแวดล้อม) ของบริษัท จะต้องไม่ไปทำลาย “ประสบการณ์พนักงาน” (WX) จนเละเทะ เพราะหากพนักงานรู้สึกแย่ (ร้อน, อึดอัด, ทำงานไม่ได้) Productivity ก็ตก สุดท้ายบริษัทอาจจะประหยัดค่าไฟได้ 6,400 ดอลลาร์ แต่สูญเสียมูลค่างานไป 64,000 ดอลลาร์แทน
- The Power of “Why”: รัฐบาลสิงคโปร์พยายามสื่อสาร “Why” (ทำไมต้องทำ) อย่างหนัก (โลกร้อน, วงจรอุบาทว์) เพื่อให้คนยอม “อดทน” กับความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
สุดท้ายนี้ “Go 25” ไม่ใช่แค่เรื่องของสิงคโปร์ แต่มันคือภาพอนาคตที่ทุกประเทศในเมืองร้อน รวมถึงกรุงเทพฯ ต้องเผชิญ คำถามคือ เมื่อวันนั้นมาถึง ออฟฟิศของเราจะพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้… หรือเราจะยังคง “กดแอร์สู้” ปัญหาที่ซ่อนอยู่ใต้พรมต่อไป



