พูดถึงสื่อสังคมออนไลน์แล้ว คนกลุ่มแรกๆ ที่ผมมักคิดถึงคือกลุ่มเด็กนักศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มคนยุคใหม่ที่น่าจะมีความสนใจในสื่อประเภทสังคมออนไลน์มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง คำถามที่ตามมาก็คือบรรดาสถาบันของพวกเขาให้ความสำคัญกับสื่อประเภทนี้มากน้อยขนาดไหน แล้วจะดีหรือไม่ถ้าบรรดาสถาบันการศึกษาเหล่านั้นหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้…

วันนี้เรามี Infographic เกี่ยวกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันการศึกษาในสหรัฐอเมริกา ที่เน้นการแจง “ข้อดี-ข้อเสีย” ออกมาด้วยครับ โดยใน Infographic ชิ้นนี้ระบุถึง Facebook, Twitter, LinkedIn, Blog และเว็บบอร์ด แน่นอนว่าข้อมูลในภาพได้ระบุว่า Facebook คือสื่ออันดับหนึ่งที่บรรดาสถาบันการศึกษาใช้กันมากที่สุด แถมในสามปีหลังสุด อัตราการเติบโตของการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ของมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ก็เพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี ในขณะที่ Twitter และ LinkedIn ก็เติบโตสูงเร็วแบบพรวดพราดเช่นกัน ส่วนสื่อออนไลน์รูปแบบเดิมๆ อย่างเว็บบอร์ดและบล็อก ก็ไม่ได้มีการการเปลี่ยนแปลงมากนัก

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการนำบรรดาสื่อออนไลน์ไปใช้หลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศว่าวันนี้จะมีเรียนที่ไหนอย่างไร อาจารย์เอาเอกสารประกอบการสอนมาแชร์ การถ่ายภาพแบบ 360 องศาของห้องเรียนให้คนภายนอกดู?การช่วยให้สถาบันค้นหานักศึกษาที่โดดเด่น หรือแม้กระทั่งก้าวไปถึงการช่วยให้ผู้ด้อยโอกาสมีโอกาสในการศึกษแนวคล้ายๆ กับการศึกษาทางไกล (มีเยอะจริงๆ ครับ รายละเอียดก็ดูได้จากใน Infographic ด้านล่างได้เลย)

แน่นอนว่าสถาบันการศึกษาที่นำสื่อสังคมออนไลน์มาใช้คงไม่ได้ประสบความสำเร็จไปเสียทุกที่ แต่สถาบันหลายแห่งที่ประสบความสำเร็จนั้น มักจะมีลักษณะคล้ายกันอย่างหนึ่ง นั่นคือการเปิดให้บรรดาครูอาจารย์สามารถเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยถูกต้องในเรื่องต่างๆ เพื่อไม่ให้การนำสื่อเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิด ในเรื่องนี้หลายส่วนได้ให้ความเห็นว่าการให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมมือในการเรียนการสอนด้วยการให้แสดงความคิดเห็นจากนักเรียนนักศึกษา ที่เสมือนกับการสื่อสารตลอดเวลากับครูอาจารย์ ทำให้การเรียนการสอนพัฒนาไปได้ดียิ่งขึ้น

สุดท้ายเป็นเรื่องเนื้อหาหรือ Content ที่ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือยุคที่เนื้อหาสาระที่นำเสนอเป็นเรื่องที่สำคัญเอามากๆ ยิ่งใครที่มีเนื้อหาที่ดีและมีจำนวนมาก (ต้องมีทั้งคู่ควบคู่กันไป) ก็ยิ่งได้เปรียบ สถาบันที่ประสบความสำเร็จในการบริหารสื่อออนไลน์ สามารถชักชวนให้นักเรียนนักศึกษาเข้ามาสร้างสรรค์เนื้อหาสาระในสังคมออนไลน์ และนี่กลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนให้สถาบันนั้นๆ ประสบความสำเร็จ

ตรงกันข้ามกับอีกลุ่มที่พบอุปสรรคมากมาย อย่างการขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจมาจัดการกับสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้สุดท้ายบรรดาผู้ใช้งานอย่างนักเรียนนักศึกษาขาดความเชื่อมั่น และไม่ใช้สื่อที่สถาบันการศึกษานั้นบริหารอยู่ หรือสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวขาดการทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมหรือผูกพันธ์ ก็จะไม่มีทางได้รับความสำเร็จจากการบริหารสื่อออนไลน์ได้เด็ดขาด

สุดท้ายแล้วความสม่ำเสมอในการให้ข้อมูล สร้างเนื้อหา หรือติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้ก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้สถาบันนั้นๆ ประสบความสำเร็จ แม้แต่ Facebook ยังใช้เวลานานกว่าที่จะก้าวมาจนถึงจุดที่ยืนอยู่ ณ วันนี้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องสร้างความมั่นคง สม่ำเสมอกับสื่อประเภทนี้ให้ได้ จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ

ทีนี้ลองไปดูสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่ผู้สำรวจได้ไปลองถาม โดย 5 อันดับที่ได้รับการยกย่องว่าสามารถจัดการกับสื่อสังคมออนไลน์ได้ดีมากๆ ก็ได้แก่ :-

  • John Hopkins University: ซึ่งมีคนกด Likes บน Facebook ให้มากถึง 16,976 คน, มีผู้ติดตามจำนวน 4,324 คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง 89,501 ครั้ง
  • มหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง Harvard University นั้นมีคนกด Likes บน Facebook?ให้มากถึง 1,281,596 คน, มีผู้ติดตามจำนวน 95,352 คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง 1,292,259 ครั้งเลยทีเดียว
  • University of Notre Dame: มีคนกด?Likes?บน?Facebook?ให้มากถึง?52,569 คน, มีผู้ติดตามจำนวน?5,014 คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง 153,575 ครั้ง
  • Ohio State University: ซึ่งมีคนกด?Likes?บน?Facebook?ให้มากถึง?407,848 คน, มีผู้ติดตามจำนวน?25,111 คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง?116,127 ครั้ง
  • สุดท้ายก็คือมหาวิทยาลัยอย่าง Columbia University, NY: ที่มีคนกด?Likes?บน?Facebook?ให้มากถึง?33,321 คน, มีผู้ติดตามจำนวน?2,426 คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง?184,071 ครั้ง

เราได้อะไรจากข่าวนี้:?จริงๆ แล้วตัวเลขการกด Like จำนวน Follower หรือจำนวนการเข้าใช้งาน YouTube ของแต่ละสถาบัน อาจจะไม่ได้สื่อถึงความสำเร็จไปเสียทุกอย่าง ถ้าดูเทียบกันจริงๆ มหาวิทยาลัยอย่าง Harvard น่าจะเป็นอันดับหนึ่งได้ไม่ยากหากมองกันในแง่ของตัวเลขและปริมาณการเข้าชม แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดทั้งปวงของความสำเร็จ หากแต่การได้ความพึงพอใจและการบอกต่อต่างหากที่น่าจะเป็นสิ่งที่องค์กรที่ไม่ได้หวังพึ่งพากำไร (มากนัก) อย่างที่สถาบันการศึกษาต้องการ

นอกจากนี้การเลือกใช้เครื่องมือให้ถูกที่ถูกเวลา เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย อาจจะเป็นสิ่งที่ควรพึงกระทำมากกว่า การทำการตลาดเพื่อเพิ่มตัวเลข โดยไม่ได้พึงนึกถึงความพึงพอใจที่แท้จริงๆ จากผู้ใช้งานของสื่อสังคมออนไลน์เอาเสียเลย

ที่มา:onlineuniversities

10 years experience in telecommunication business, specialize in customer experience management and call center operation. Rungroj also passionate about how social technologies shape human interaction via social media. He is a co-author of "Marketing 2.0 and 2.1 - Social Media Marketing" and author of many best-selling mobile phone guidebook in Thailand.