ปี 2025 กำลังจะมาถึงพร้อมกับความท้าทายรอบด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องของยอดขายหรือการตลาด แต่เป็นเรื่องของ คน ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้น หากเรามองภาพรวมเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ยิ่งปัจจุบันไทยกำลังเผชิญกับภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตแบบชะลอตัว ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และปัจจัยลบรอบด้าน ในสภาวะที่ ฝืด แบบนี้ การรักษาขุมกำลังสำคัญอย่าง พนักงาน ให้อยู่กับองค์กรและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด
วันนี้ Thumbsup จะพาไปเจาะลึกข้อมูลล่าสุดจาก Jobsdb by SEEK ที่เปิดเผยกลยุทธ์มัดใจคนทำงานยุคใหม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการ HR และการบริหารคน ที่นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจมองข้ามไม่ได้

เมื่อ “คน” คือสินทรัพย์ที่ค่าที่สุดในยามยาก
ก่อนจะไปดูว่าเราต้องดูแลพนักงานอย่างไร เราต้องเข้าใจสนามรบที่เรายืนอยู่ก่อน จากการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2568 พบว่าการเติบโตจะชะลอตัวอยู่ที่ราว 1.5% เท่านั้น พร้อมกับสภาวะ ผู้ขายล้นตลาด ในขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคมีความระมัดระวังมากขึ้น สิ่งนี้บอกอะไรเราในฐานะคนทำธุรกิจ?
มันบอกว่า Margin for Error หรือพื้นที่สำหรับความผิดพลาดนั้นน้อยลงทุกที การจะขับเคลื่อนองค์กรฝ่าคลื่นลมที่แปรปรวน จำเป็นต้องอาศัยทีมงานที่ แข็งแกร่ง และ พร้อมลุย ไปด้วยกัน หากพนักงานในองค์กรหมดไฟ หรือรู้สึกไม่มั่นคง ประสิทธิภาพการทำงานจะลดลงทันที และนั่นหมายถึงความเสี่ยงทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ดังนั้น การลงทุนใน Well-being ของพนักงาน จึงไม่ใช่รายจ่ายสิ้นเปลือง แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเกราะป้องกันทางธุรกิจที่คุ้มค่าที่สุด
จาก Human-Centric Marketing สู่ Human-Centric Workplace
เรามักได้ยินคำว่า Human-Centric ในมุมของการตลาด ที่ต้องเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง แต่ในปี 2025 แนวคิดนี้กำลังถูกนำมาใช้กับการบริหารคนภายในองค์กรอย่างเข้มข้น
ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย ฉายภาพให้เห็นว่า ตลาดงานไทยปี 2025 ผลักดันให้องค์กรต้องมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากร เพราะการปรับตัวให้เข้ากับคนทำงานรุ่นใหม่และโลกยุคดิจิทัล ต้องอาศัยตัวแปรที่ดึงดูดความเชื่อมั่น ความยั่งยืนขององค์กรเริ่มต้นจากการดูแลคนอย่างแท้จริง นี่คือ Key Message ที่สำคัญมาก
ลองนึกภาพตามว่าในขณะที่การแข่งขันในตลาด E-Commerce ดุเดือดเลือดพล่าน ทุกคนอยากแจ้งเกิดบนหน้าจอมือถือ พนักงานที่ต้องคอยซัพพอร์ตหลังบ้าน ทั้งแอดมิน ทีมการตลาด ทีมแพ็คของ หากพวกเขาขาดแรงใจ ธุรกิจก็สะดุดทันที การดูแลใจคนทำงานจึงส่งผลโดยตรงต่อ Bottom Line ของธุรกิจ
“วันลาพักใจ” สวัสดิการที่ Gen Z และคนทำงานยุคใหม่ถวิลหา
ในรายงาน Hiring, Compensation & Benefits (HCB) Report 2025 มีตัวเลขที่น่าตกใจและน่ายินดีไปพร้อมกัน คือ 11% ขององค์กรมีแผนเพิ่ม วันลาสุขภาพจิต หรือ Mental Health Day Off และ 15% เตรียมเพิ่ม วันลาพิเศษเพื่อดูแลครอบครัว หรือ Family Care Leave
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนว่า องค์กรเริ่มมองเห็นพนักงานเป็น มนุษย์ ที่มีความรู้สึก มีความเครียด และมีภาระทางบ้าน ไม่ใช่เครื่องจักร หากเราลอง Cross-check กับข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค จะเห็นความสอดคล้องที่น่าสนใจระหว่าง Generation กับสวัสดิการที่พวกเขาต้องการ
- Gen Z: คนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่กล้าท้าทายระบบ คิดต่าง และต้องการโลกใหม่ที่ยั่งยืน ในโลกการทำงาน พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะเรียกร้องสวัสดิการที่ดูแลสภาพจิตใจ เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance และ Mental Health เป็นอันดับต้น ๆ การมี วันลาพักใจ จึงเป็นการตอบโจทย์พวกเขาได้ตรงจุดที่สุด เหมือนการทำ Tribal Marketing ที่ต้องพูดภาษาเดียวกับพวกเขา
- Gen X: หรือกลุ่ม เดอะแบก ที่ต้องรับภาระทั้งงานและครอบครัว สวัสดิการ วันลาดูแลครอบครัว จึงตอบโจทย์ Pain Point ของคนกลุ่มนี้อย่างจัง เหมือนกับการทำการตลาดแบบ Sandwich Marketing ที่ต้องเป็น Solution Provider ให้ชีวิตพวกเขาที่ต้องแบกรับทั้งสองทาง
- Gen Y: กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความสุข ณ ปัจจุบัน การมีวันลาในวันเกิด หรือสวัสดิการที่ยืดหยุ่น จึงยังคงติดอันดับสิ่งที่คนทำงานกลุ่มนี้ต้องการ เพราะมันคือ ความสุขที่จับต้องได้ทันที
สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้สร้าง Impact มหาศาลในแง่ของความรู้สึก ทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กร แคร์ พวกเขาจริง ๆ และเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญ
เงินยังสำคัญ แต่ “ความโปร่งใส” สำคัญกว่า
แม้เทรนด์เรื่องใจจะมาแรง แต่เรื่องเงินก็ยังเป็นพื้นฐานที่ทิ้งไม่ได้ ในยุคที่ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายและขาดความมั่นใจ คนทำงานเองก็ต้องการความมั่นคงทางการเงินเช่นกัน ยิ่งเมื่อพิจารณาว่าเรากำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย และกลุ่ม Gen Horizon ที่อายุมากกว่า 45 ปี มีบทบาทมากขึ้น ความมั่นคงจึงเป็นเรื่องใหญ่
ข้อมูลจาก Jobsdb ระบุว่า องค์กรไทยกว่า 79% เปิดเผยวิธีการคำนวณและจ่ายโบนัสอย่างชัดเจน นี่คือเทรนด์ของ Transparency หรือความโปร่งใส ที่ช่วยสร้าง Trust หรือความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างพนักงานกับองค์กร
- โบนัส: ค่าเฉลี่ยโบนัสโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 1.8 เดือน และ 84% ขององค์กรยังคงจ่ายโบนัสตามผลงาน
- การปรับเงินเดือน: 85% ขององค์กรมีนโยบายปรับขึ้นเงินเดือน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1–5%
ตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่า องค์กรยังคงใช้ Rewards เป็นแรงจูงใจ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ วิธีการสื่อสาร การบอกที่มาที่ไปของตัวเลขช่วยลดความเคลือบแคลงใจ และทำให้พนักงานรู้สึกว่าได้รับความยุติธรรม ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์การตลาดที่แบรนด์ต้องมีความ จริงใจ ถึงจะครองใจลูกค้าได้ พนักงานก็ซื้อความจริงใจจากองค์กรเช่นกัน
Well-being แบบองค์รวม คือกลยุทธ์ชนะใจในระยะยาว
การที่องค์กรหันมาโฟกัสเรื่อง Well-being แบบรอบด้าน ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพการเงิน ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด การเปลี่ยนจากการเน้น ใช้งานให้คุ้ม มาเป็น ดูแลให้ดี จะช่วยลดอัตราการลาออก และดึงดูด Talent ใหม่ ๆ เข้ามา
ในสมรภูมิปีหน้า ที่คาดการณ์ว่าผู้ขายจะล้นตลาดแต่กำลังซื้อชะลอตัว องค์กรที่แข็งแกร่งจากภายในจะมีแต้มต่อ การมีทีมงานที่มีสุขภาพจิตดี มีพลังใจเต็มร้อย พร้อมจะลุยงานหนักและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ คืออาวุธลับที่จะทำให้ธุรกิจรอดพ้นจากวิกฤต การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เกื้อกูลกัน ไม่ต่างอะไรกับการสร้าง Community ของลูกค้าที่ภักดี
Thumbsup มองว่า ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการพิสูจน์ หัวใจ ขององค์กร ข้อมูลจาก Jobsdb by SEEK ครั้งนี้ เป็นเหมือนเข็มทิศที่ชี้ให้เห็นว่า ยุคของการทำงานแบบถวายหัวโดยไม่ดูแลตัวเองกำลังจะหมดไป องค์กรที่ปรับตัวได้เร็ว เข้าใจ Insight ของพนักงานเหมือนที่เข้าใจ Insight ของลูกค้า และกล้าที่จะมอบสวัสดิการที่จับต้องได้จริง จะเป็นผู้ชนะในสงครามแย่งชิงคนเก่ง
เราเห็นสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจมาแล้ว ดังนั้น อย่ารอให้พนักงานเก่ง ๆ เดินมาวางใบลาออกเพราะหมดไฟ เริ่มต้น รีเซ็ต นโยบาย HR ของคุณตั้งแต่วันนี้ เพิ่มวันลาพักใจ สร้างความชัดเจนเรื่องผลตอบแทน แล้วคุณจะได้ ใจ และ งาน ที่มีคุณภาพกลับมาอย่างแน่นอน เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเทคโนโลยีจะไปไกลแค่ไหน คน ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดเสมอ
อ่านเพิ่มเติม


