สำหรับนักการตลาดแล้ว ชาวเจเนอเรชั่น Millennials หรือ Gen M เป็นคนอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ และมีความสำคัญต่อนักการตลาดในยุคต่อไปเป็นอย่างมาก เพราะแน่นอนว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เงินที่มีอยู่บนโลก “ครึ่งหนึ่ง” จะถูกโอนย้ายไปอยู่ในมือของคน Gen M ไม่ว่าจะมาจากทรัพย์มรดก หรือการสร้างตัวด้วยตนเองก็ตาม
โดยจากข้อมูล Demographic ของชาว Gen M นั้นคือผู้ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2532 – 2538 ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 14% ของประชากรในประเทศไทย และถูกจัดได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีการใช้งานเครือข่ายโทรคมนาคมแทบจะตลอดเวลา โดยชาว Gen M มักเป็นกลุ่มที่อินเทรนด์ ดูดีมีสไตล์ กล้าคิดกล้าทำ ขณะที่มุมมองด้านการตลาด ชาว Gen M จะเป็นผู้ที่ชอบแสดงตัวตน มีความคุ้นเคยกับแบรนด์ต่าง ๆ สูง ไม่อยากซ้ำใคร ชอบแชท และอยู่บนโลกออนไลน์เป็นส่วนมาก
จากไลฟ์สไตล์ของชาว Gen M ดังที่กล่าวมานี้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ท้าทายชาว Gen M นั่นก็คือยุคแห่งการ Disruption โดยเทคโนโลยีดิจิทัล ดังจะเห็นได้จากการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการสร้างความสะดวกสบายให้กับมนุษย์ ในขณะเดียวกันก็แย่งชิงอาชีพและแหล่งรายได้ของมนุษย์ไปด้วย
ดังนั้น อาจเป็นการดีกว่า หากชาว Gen M จะได้รับการเตรียมความพร้อมในด้านความรู้ เพื่อให้สามารถรับมือกับยุคแห่ง Digital Disruption ได้ และมีทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการดูแลบริหารจัดการ “เงิน” ได้อย่างชาญฉลาด
นั่นจึงนำไปสู่การจัดฟอรัมพิเศษ “Millionaire Millennials – สร้างธุรกิจให้มั่งคั่งด้วยพลังคนยุค Gen M” โดย Krungsri GURU ที่รวบรวมกูรูในสาขาต่าง ๆ มาพูดคุยกันอย่างถึงแก่น นำทีมโดย
- คุณฐากร ปิยะพันธ์ กูรูด้านนวัตกรรมและประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิทัลแบงก์กิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- คุณวี – สืบศักดิ์ ลิ่วรัตน์ กูรูด้านดิจิทัล และเจ้าของธุรกิจออนไลน์ชื่อดังของไทย
- คุณพรทิพย์ กองชุน กูรูด้านการลงทุน ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Jitta.com
โดยในด้านการลงทุนนั้น คุณฐากรเผยว่าหนึ่งในเทรนด์ที่กำลังมาและจะเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับชาว Gen M และนักลงทุนในยุค Disruptionนี้ก็คือ Robo-Advisor ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้คำแนะนำด้านการลงทุนแก่เจ้าหน้าที่ของธนาคาร รวมถึงลูกค้า เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายด้านการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง Robo-Advisor สามารถวิเคราะห์จากข้อมูลพื้นฐานของลูกค้า รวมถึงความเสี่ยงต่าง ๆ และประมวลผลออกมาว่าควรลงทุนแบบใดจึงจะตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของลูกค้าได้ เช่น อาจแนะนำให้เปลี่ยนรูปแบบการลงทุนไปสู่การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเดิม เป็นต้น
เมื่อมาผนวกกับพฤติกรรมด้านการลงทุนของชาว Gen M ที่คุณพรทิพย์ กองชุน กูรูด้านการลงทุนจากเว็บไซต์ Jitta.com เปิดเผยว่า ชาว Gen M เห็นการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญและใกล้ตัวมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่เติบโตมากับเทคโนโลยี จนทำให้บางครั้งเขาอาจเชื่อมั่นในเทคโนโลยีมากกว่ามนุษย์ด้วยกันเองนั้น ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงภาพของการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่าง Robo-Advisor ว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีในอนาคตได้ชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน
“ยุคนี้และยุคต่อไปเป็นยุคแห่ง Big Data แต่เราจะใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์อย่างไร นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่ชาว Gen M ต้องรู้ ที่ผ่านมา เราจะซื้อหุ้นสักตัวหนึ่ง ตอนเราได้กำไร กำไรเพราะอะไรก็ไม่รู้ เพราะว่าส่วนใหญ่ซื้อตามกัน ขาดทุนก็ไม่รู้ว่าทำไมขาดทุน แต่พอมีเทคโนโลยี เราจะสามารถตอบได้ และทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่คุณพรทิพย์ย้ำเพิ่มเติมก็คือ ควรจะเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเวลาเป็นปัจจัยสำคัญมากต่อความสำเร็จ
“การลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ๆ คุณจะมีเวลาอีกมากที่จะจัดการกับความเสี่ยง ได้ลองผิดลองถูก รู้ว่าสไตล์ตัวเองเป็นแบบไหน และได้รู้จักรับมือกับความผันผวน เช่นในตอนนี้ ถ้าคุณมีเงิน 1 ล้านบาทและอยากมี 100 ล้านบาทคุณมีได้ แต่คุณต้องหาทางทำให้มีผลตอบแทน 10 – 15% ต่อปีสะสมไปสัก 25 ปีก็ถึง นี่คือสิ่งที่เราบอกว่า ทำไมจึงควรเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย”
โอกาสในการค้าออนไลน์ยังมี แต่ต้องปรับสู่ Friend-Commerce
นอกจากการลงทุนในตลาดเงินแล้ว การลงทุนในตลาดการค้าก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างความมั่งคั่งของคนยุคใหม่ได้ดี ซึ่งในจุดนี้ กูรูด้านดิจิทัล อย่างคุณสืบศักดิ์ ได้ชี้ว่า โลกออนไลน์ในปัจจุบันนั้นเปิดกว้าง และกลายเป็นพื้นที่สำคัญที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน
“สิ่งที่ผมเห็นคือรูปแบบการค้าออนไลน์ของคนยุคนี้เปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด คนที่อยากจะขายของ เพียงใช้เครื่องมือสำเร็จรูปก็สร้างเว็บไซต์ได้แล้ว หรือจะเปิดแอคเคาท์ (หน้าร้าน) กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ก็สามารถค้าขายออนไลน์ได้แล้วเช่นกัน”
แต่ความยากของตลาด E-Commerce ในยุคนี้ก็คือ ผู้ซื้อก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญในตัวสินค้ามากไม่แพ้ผู้ขาย ดังนั้นอาจเป็นการดีกว่า หากผู้ค้าออนไลน์จะเริ่มขายจากสินค้าใกล้ตัว หรือมีความรู้ในเรื่องดังกล่าวเป็นทุนเดิม
“การค้าจะเปลี่ยนไปสู่รูปแบบ Friend-Commerce ที่ผู้ซื้อจะคุยกับพ่อค้าเหมือนเพื่อนกันมากกว่าคุยกับพ่อค้าที่ทำตัวเป็นพ่อค้า ดังนั้น หากเราสามารถตอบคำถาม หรือมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไปฝากลูกค้าได้ ให้เขารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนเขานั้น โอกาสในการซื้อก็มีสูง”
นวัตกรรมสร้างแรงบันดาลใจ “Refinn – Etran”
หากไม่ถนัดการลงทุนและการค้าออนไลน์ อีกหนึ่งโลกที่ชาว Gen M มีโอกาสก้าวเข้าไปก็คือ โลกแห่งนวัตกรรม และสตาร์ทอัพ โดยบนเวทีดังกล่าวได้มีการเชิญสองสตาร์ทอัพชื่อดังอย่าง Etran สกูตเตอร์ไฟฟ้าฝีมือคนไทย และ Refinn ผู้ให้บริการระบบรีไฟแนนซ์บ้านมาแรงแห่งปี มาบอกเล่าประสบการณ์ให้ได้ฟังกันด้วย
โดยคุณสรณัญช์ ชูฉัตร ผู้ก่อตั้ง อีทราน (ไทยแลนด์) สกูตเตอร์ไฟฟ้าเลือดไทยก็ได้เผยถึงประสบการณ์ของเขาว่า การลงมาทำสตาร์ทอัพอย่างรถจักรยานยนต์ไฟฟ้านั้น นอกจากจะได้ในเรื่องของมิตรภาพ และการบริหารจัดการต่าง ๆ แล้ว ในระหว่างทางที่พัฒนาสกูตเตอร์ไฟฟ้านั้น เต็มไปด้วยเรื่องราวประทับใจมากมาย ทั้งจากโรงงานผู้ผลิตที่ผู้บริหารบอกกับทีมว่า อยากให้การสนับสนุน เพราะเราเป็นลูกค้าคนไทยรายแรกของที่นี่ ไปจนถึงวันแถลงข่าวที่ปิดโรงภาพยนตร์ และได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทุกแขนง
โดยคุณสรณัญช์เผยข้อคิดที่น่าสนใจว่า อย่าให้ความกลัวว่าการลงมือคิดหรือทำสิ่งใดไปแล้วจะถูกก็อปปี้ไอเดียมาหยุดยั้งความฝัน เพราะคนที่ก็อปปี้ไอเดียของเราไปนั้น ใช่ว่าจะดูแลความฝันของเราได้เสมอไป
ด้านคุณนิลทิตา เลิศเรืองศุภกุล ผู้ก่อตั้ง Refinn แพลตฟอร์มผู้สร้างอิมแพคให้กับวงการรีไฟแนนซ์บ้านเผยว่า สตาร์ทอัพของเธอเริ่มต้นขึ้นจากการมองเห็นปัญหา ๆ หนึ่ง นั่นคือ กระบวนการรีไฟแนนซ์มีความยุ่งยาก ทั้ง ๆ ที่ถ้าหากทำการรีไฟแนนซ์ อาจสามารถลดยอดเงินที่เราจะต้องจ่ายแก่เจ้าหนี้ให้น้อยลงได้ ซึ่งสำหรับบางคนแล้วอาจหมายถึงเงินหลายล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถนำกลับไปสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับครอบครัวไทยได้อีกมาก เช่น ส่งลูกให้เรียนจบได้ หรือส่งเงินให้พ่อแม่ได้มากขึ้น
“แพลตฟอร์มของ Refinn เราเข้ามาทำให้การรีไฟแนนซ์ง่ายขึ้น โดยเราเปรียบเทียบเงื่อนไขให้เห็นชัด ๆ ว่า ธนาคารไหน ให้ผลประโยชน์ดีกว่ากัน แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่เราได้เห็นชีวิตคนดีขึ้นจากบริการของเรา ได้เห็นสิ่งที่เราทำว่าทำให้คนมีความสุขมากขึ้น”
ภาครัฐชี้ 5 ปัญหาสกัดการเติบโต ยุค Gen M
ในส่วนของภาครัฐ ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต ผู้อำนวยการอาวุโสของ ETDA ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลที่สำคัญสำหรับชาว Gen M เอาไว้เช่นกัน โดยเผยว่า ประเทศไทยที่ต้องการก้าวสู่การเป็น Thailand 4.0 นั้น จะสามารถทำได้สะดวกมากขึ้นหากสามารถก้าวข้าม 5 ความท้าทายนี้ไปได้ ซึ่งความท้าทายนั้นประกอบด้วย “กับดักรายได้ปานกลาง” ที่คนไทยควรจะมีรายได้ต่อหัวที่ 30,000 บาทขึ้นไป (ปัจจุบันรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 16,000 – 17,000 บาทต่อเดือน) สองคือปรับปรุงภาคอุตสาหกรรมและบริการให้ดีขึ้น สามคือแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ สี่คือเรื่องการพัฒนาศักยภาพคนในประเทศ และห้า คือปัญหาคอรัปชั่น
โดย ดร.รัฐศาสตร์ชี้ว่า ข้อจำกัดทั้ง 5 ข้อนี้สามารถบั่นทอนโอกาสในการแข่งขันกับตลาดโลกให้ลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นความท้าทายให้ชาว Gen M ได้คิดหาไอเดียมาจัดการกับความท้าทายเหล่านั้นด้วย
ดร.รัฐศาสตร์ได้ยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่บอกว่าวิสัยทัศน์ของเขานั้นก้าวข้าม Digital Economy ไปสู่ Creative Economy หรือก็คือการขายสินค้าจากความคิด จากนวัตกรรมแล้ว ซึ่งนั่นเป็นความท้าทายของชาว Gen M ของไทยให้ได้ตรึกตรองเช่นกันว่า อนาคตของประเทศไทยนั้น ชาว Gen M จะพาเดินไปในทิศทางใดดี
Money Coach ชี้ทางก้าวข้ามกับดักทางการเงิน
หากได้ทราบเทรนด์ในอนาคตแล้ว มีไอเดียจากแรงบันดาลใจดี ๆ แล้ว รู้ถึงความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้าแล้ว การให้คำแนะนำด้านวิธีบริหารจัดการทรัพย์สิน หรือความมั่งคั่งร่วมด้วยในเซสชั่นปิดท้ายจากโค้ชด้านการบริหารเงินชื่อดัง “คุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์” ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฟอรัมครั้งนี้ครบถ้วนสมบูรณ์
โดยคุณจักรพงษ์ได้เปิดประเด็นมาได้อย่างน่าสนใจ ถึงความเข้าใจผิดในเรื่องความรู้ทางการเงินของคนจำนวนไม่น้อย ที่อาจมองว่า การตั้งใจเรียน หางานดี ๆ ทำแล้วจะประสบความสำเร็จด้านการเงิน มีเงินเดือนดี ๆ เข้ามาทุกเดือน แต่ในมุมมองของเขานั้นมองว่า ชีวิตมนุษย์ไม่เคยเบาลง ดังนั้น 10 ปีแรกของการทำงานต้องตั้งใจให้ดี อยากรู้อะไรให้ลุยเพื่อสะสมประสบการณ์ และต้องออมเงิน สัก 20% ของรายได้
เหตุที่ควรเป็น 20% นั้น โค้ชจักรพงษ์ชี้ว่า คนมีเงินออมนั้นมีทางเลือกในการลงทุนมากกว่าเสมอ และอายุของชาว Gen M ก็เป็นช่วงวัยที่ยังเติบโตได้อีกมาก หากเกิดความผิดพลาดก็สามารถลุกขึ้นได้เร็วกว่าคนเจเนอเรชั่นอื่น ๆ ที่มีภาระในชีวิตมากกว่านั่นเอง นอกจากนี้ โค้ชจักรพงษ์ยังได้เสนอมุมมองใหม่ ๆ แก่ชาว Gen M ด้วยว่า
“ทุกวันนี้ อินเทอร์เน็ตเข้ามาเปลี่ยนเครื่องมือด้านการตลาดไปมากพอสมควร และทำให้ Gen M สร้างตัวได้ง่ายขึ้น เราพบว่าคนที่บริหารเงินเป็นจะมีรายได้หลาย ๆ ทาง และใช้เงินลงทุนของตัวเองให้น้อยที่สุด ซึ่งคนเหล่านี้อาจไม่รวยมาก แต่มีทางเลือกมากขึ้น การที่ผมแนะนำว่าคนเราควรมีรายได้หลายทาง ไม่ใช่เพื่อมั่งคั่งเร็ว แต่เพื่อป้องกันความเสี่ยง เพราะทางข้างหน้าเราเห็นไม่ชัด ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คนยุคใหม่ต้องรู้จักบริหารจัดการความเสี่ยง ให้มากพอ ๆ กับการสร้างผลตอบแทน”
แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงฟอรัมการเสวนาโดยกูรูผู้มีชื่อเสียง หรือคอนเทนต์ดี ๆ สร้างแรงบันดาลใจจากสตาร์ทอัพชื่อดัง – Money Coach ของไทย ประกอบกับตัวเลขที่น่าสนใจจากภาครัฐ ทำให้เห็นว่า “โอกาส” ของชาว Gen M นั้นมีอยู่มากมายให้เลือกคว้า เลือกเข้าไปแก้ไข และเลือกได้ที่จะเติบโต
การฟังจากประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วอาจเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ดีของชาว Gen M แต่จะไม่เกิดอะไรเลย หากการฟังนั้นจบลงโดยที่ไม่ได้รับการนำไปปฏิบัติ เพราะการลงมือทำ การได้เผชิญหน้ากับความท้าทายจริง ๆ นั้นจะกลายเป็นขุมทรัพย์แห่งความมั่งคั่งที่ดีที่สุดที่ชาว Gen M จะได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และสำหรับชาว Gen M ที่เริ่มลงมือทำแล้ว
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมจากกรุงศรีกูรูได้ที่
เว็บไซต์ https://www.krungsri.com/bank/en/krungsri-guru/home.html Facebook https://www.facebook.com/krungsriguru/
บทความนี้เป็น Advertorial