ปี 2025 เป็นปีที่วงการร้านอาหารไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักหน่วง หลายเสียงบอกว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วง “เผาหลอก” หรือ “เผาจริง” แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ธุรกิจร้านอาหารเป็นหนึ่งในเซกเตอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี แสงสว่างกลับมาสาดส่องอีกครั้ง เมื่อโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่าง คนละครึ่งพลัส ถูกปล่อยออกมา ซึ่งหลายคนเปรียบเทียบว่าเป็น สเตียรอยด์เศรษฐกิจ ที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจนในการฟื้นฟูบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย
LINE MAN ในฐานะผู้เล่นหลักและเป็นแพลตฟอร์มที่อยู่เคียงข้างอุตสาหกรรมร้านอาหารมาอย่างยาวนาน ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ของผลกระทบจากโครงการคนละครึ่ง และภาพรวมทิศทางของตลาดร้านอาหารไทยประจำปี 2025 ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นเหมือนสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดกำลังเดินไปในทิศทางใด

LINE MAN และพลังของ “คนละครึ่งพลัส”
LINE MAN ถือเป็นผู้เล่นคนสำคัญในทุกเฟสของโครงการคนละครึ่ง โดยเริ่มเข้าร่วมตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ในปี 2021 และสำหรับโครงการ คนละครึ่งพลัส ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมและเริ่มใช้งานจริงในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าประทับใจจนต้องนำมาเรียนรู้เป็นอีกกรณีศึกษา
โครงการคนละครึ่งพลัสกำหนดให้ร้านอาหารสามารถเลือกเข้าร่วมได้เพียงแพลตฟอร์ม Food Delivery เดียวเท่านั้น ซึ่งตัวเลขที่ออกมาตอกย้ำความเป็นผู้นำของ LINE MAN ได้อย่างชัดเจน:
- ร้านค้าเลือกเข้าร่วมมากที่สุด: 65% ของร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการเลือก LINE MAN เป็นช่องทางหลัก ในขณะที่อีก 35% กระจายไปยังอีก 3 แพลตฟอร์มที่เหลือ
- ยอดใช้จ่ายสูงสุด: ประมาณ 63% ของยอดใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม Food Delivery ภายใต้โครงการคนละครึ่ง เกิดขึ้นผ่าน LINE MAN
ตัวเลข 63% นี้สะท้อนว่า LINE MAN ไม่เพียงแต่มีจำนวนร้านค้าที่เยอะที่สุด แต่ยังมีปริมาณการสั่งซื้อ ที่สูงกว่าแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นการตอกย้ำสถานะ เบอร์หนึ่งของคนละครึ่ง และ เบอร์หนึ่งของตลาด Food Delivery ไปพร้อม ๆ กัน
สถิติที่พุ่งกระฉูดที่เติบโต 41%
เมื่อเปรียบเทียบโครงการ “คนละครึ่งพลัส” รอบล่าสุดกับ “คนละครึ่ง เฟส 5” (ปี 2022) พบว่าตัวชี้วัดสำคัญทุกตัวมีการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างน่าสนใจ
| ตัวชี้วัด (เทียบกับคนละครึ่ง เฟส 5) | อัตราการเติบโต |
|---|---|
| ยอดใช้จ่ายคนละครึ่งบน LINE MAN | โตขึ้น 41% |
| ยอดขายเฉลี่ยของร้านค้าที่เข้าร่วม | โตขึ้น 4.2 เท่า (รอบที่แล้วโต 3.5 เท่า) |
| จำนวนลูกค้าที่ใช้บริการ | เพิ่มขึ้น 22% |
| ยอดขายต่อบิล (จากลิมิต 150 บาท เป็น 200 บาท) | โตขึ้น 15% |
| ความถี่ในการสั่งซื้อ | เพิ่มขึ้น 30% |
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีร้านอาหารกว่า 3,000 ร้าน ที่มียอดขายเติบโตมากกว่า 10 เท่า (เช่น จากเดิมขายได้ 5,000-10,000 บาท/เดือน อาจพุ่งไปถึง 100,000 บาท/เดือน) สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการกระตุ้นที่มาพร้อมกับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม ทั้งการลด GP พิเศษ และค่าส่งฟรี ได้ส่งผลบวกต่อร้านค้าอย่างมหาศาล
เมนูติดเทรนด์ และราคาสูงที่เข้าถึงได้
การเพิ่มลิมิตการใช้จ่ายรายวันจาก 150 บาทเป็น 200 บาท ไม่เพียงแต่ทำให้ยอดขายต่อบิลเพิ่มขึ้น 15% เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้ออาหารของผู้บริโภคด้วย
- เมนูสุดฮิตที่ไม่เคยตกยุค: ชาไทย, ชาเขียว, นมโกโก้ และที่ขาดไม่ได้คือ ส้มตำปูปลาร้า ยังคงเป็นเมนูยอดนิยมที่ถูกสั่งอย่างต่อเนื่อง
- เมนูติดเทรนด์เพราะรัฐช่วยจ่าย: เมื่อวงเงินต่อวันสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคกล้าสั่งเมนูที่มีราคาสูงขึ้นเพื่อใช้สิทธิ์ 200 บาทให้คุ้มค่าที่สุด ซึ่งหนึ่งในเมนูที่มียอดสั่งพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือ “แซลมอน” โดยเฉพาะเมนู Sashimi หรือ Salmon Bowl ต่าง ๆ ที่ปกติอาจมีราคาสูงถึง 500-700 บาท การใช้สิทธิ์คนละครึ่งช่วยให้ลูกค้าสั่งเมนูเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น
ฮีโร่ของร้านเล็กและต่างจังหวัด
ข้อมูลของ LINE MAN ชี้ชัดว่า คนละครึ่งพลัส เป็นโครงการที่ช่วย ร้านค้ารากหญ้า ได้อย่างแท้จริง
- ร้านค้าขนาดเล็กโตแรงสุด: ร้านที่มียอดขายต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท (ก่อนโครงการ) มียอดขายเติบโตสูงถึง 5.9 เท่า ซึ่งสูงกว่าร้านที่มียอดขายเกิน 10,000 บาท แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้ช่วยร้านค้าขนาดเล็กที่ต้องการสภาพคล่องได้อย่างตรงจุด
- ต่างจังหวัดโตแซงกรุงเทพฯ: แม้แต่ในกรุงเทพฯ ยอดขายคนละครึ่งก็เติบโตประมาณ 4 เท่า แต่ในต่างจังหวัดบางจังหวัดมียอดขายโตถึง 8-9 เท่า (เช่น จันทบุรี, หนองบัวลำภู, อุตรดิตถ์, อุดรธานี, เชียงราย) เนื่องจาก LINE MAN ขยายบริการครอบคลุมถึงระดับอำเภอ ข้อมูลนี้จึงเป็นภาพสะท้อนว่ากำลังซื้อและการรอคอยมาตรการกระตุ้นในต่างจังหวัดมีสูงมาก
กระจายรายได้ถึงมือไรเดอร์
ผลบวกไม่ได้จำกัดอยู่แค่เจ้าของร้าน แต่ยังส่งต่อไปถึงไรเดอร์ (Rider) ด้วย รายได้ต่อวันของไรเดอร์เพิ่มขึ้น 15% ถึง 25% เนื่องจากมีออเดอร์เข้ามาจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่าโครงการนี้ช่วยกระจายรายได้ไปสู่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้อย่างแท้จริง
นอกจากผลกระทบของคนละครึ่งแล้ว CEO ของ LINE MAN ยังได้ฉายภาพรวมของตลาดร้านอาหารไทยในปี 2025 โดยรวม ที่แสดงให้เห็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ยังมีความเสี่ยงสูง
สัญญาณการฟื้นตัว กับยอด SSSG
เศรษฐกิจร้านอาหารโดยรวมในช่วงปลายปี 2025 ดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับกลางปี โดยพิจารณาจากยอดขายเฉลี่ยของร้านเดิม (Same-Store Sales Growth – Y-o-Y) ในตลาด Food Delivery และหน้าร้านรวมกัน:
- Q2 2025: ยอดขายติดลบสูงถึง -14%
- Q3 2025: เริ่มฟื้นตัว กลับมาโต 1%
- Q4 2025: เติบโตขึ้นถึง 5% (รวมผลจากคนละครึ่ง)
แม้ตัวเลขจะดีขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าการเติบโต 5% ใน Q4 นั้นได้รับแรงหนุนจาก คนละครึ่งพลัส อย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากไม่มีมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจร้านอาหารอาจไม่ได้ฟื้นตัวรวดเร็วขนาดนี้
ความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ และเทรนด์รัดเข็มขัด
แม้จะมีการเปิดร้านใหม่มากขึ้น แต่ความเสี่ยงของธุรกิจร้านอาหารยังอยู่ในระดับสูง หรือ ประมาณ 50% ของร้านอาหารที่เปิดใหม่ยังคงปิดตัวลงภายในหนึ่งปี ซึ่งตอกย้ำว่านี่คือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง (High-Risk Business) และการแข่งขันยังคงรุนแรง
นอกจากนี้ เทรนด์ที่น่าสนใจคือ ร้านราคาเข้าถึงได้โตกว่า เพราะร้านอาหารที่มียอดบิลต่อครั้งต่ำกว่า 500 บาท มีอัตราการเติบโตสูงกว่าร้านที่มียอดบิลเกิน 500 บาท อย่างมีนัยสำคัญใน Q3 2025 (แม้ Q4 ร้านราคาสูงจะเริ่มฟื้นตัวก็ตาม)
นี่เป็นสัญญาณที่บอกว่า ราคาที่เข้าถึงได้ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นเทรนด์หลักของตลาดอาหารไทย เนื่องจากผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเรื่องกำลังซื้อและเลือกใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
Thumbsup มองว่าโครงการ คนละครึ่งพลัส ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ยอดเยี่ยมในการฉีดกำลังซื้อเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยพยุงร้านค้าขนาดเล็กและกระจายรายได้ไปสู่ต่างจังหวัดและกลุ่มไรเดอร์ได้อย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูล Same-Store Sales Growth ที่ดีขึ้นใน Q4 ส่วนหนึ่งมาจากการกระตุ้นนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า หลังมาตรการจบลง ตลาดร้านอาหารไทยจะสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตนี้ไว้ได้หรือไม่? ความเสี่ยงที่ร้านใหม่ 50% ต้องปิดตัวลงภายในปีแรกยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการต้องหาคำตอบ ด้วยการสร้างความแตกต่างและควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้อยู่รอดได้ในตลาดที่ยังคงเน้น ความคุ้มค่า เป็นสำคัญ



