ในฐานะคนในอุตสาหกรรมธุรกิจบริการและการตลาด เมื่อเห็นรายงานผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) หรือ MINT เราไม่ได้มองแค่ตัวเลขบรรทัดสุดท้าย แต่เรามองหา “สัญญาณ” และ “กลยุทธ์” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2568 ที่เพิ่งประกาศออกมา ต้องบอกว่านี่คือ “บทพิสูจน์” ของโมเดลธุรกิจแบบ Diversified Portfolio (การมีธุรกิจหลากหลายในมือ) ที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่ง MINT แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
ภาพรวม Q3/68 รายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 41,568 ล้านบาท (ลดลง 1% เมื่อรายงานเป็นเงินบาท แต่เพิ่มขึ้น 1% หากคิดที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2,768 ล้านบาท (โต 5% แม้รวมผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน) ส่วนภาพรวม 9 เดือนแรก ทำรายได้ไป 121,664 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานพุ่งไปถึง 6,229 ล้านบาท (โตถึง 13% เมื่อรวมผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน)
ตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่า MINT “เอาอยู่” แต่คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ… “พวกเขาทำได้อย่างไร?”
Thumbsup จะพาไปเจาะลึก 3 กลยุทธ์สำคัญที่ขับเคลื่อน MINT ในวันนี้ และส่งสัญญาณถึงทิศทางในวันข้างหน้า

“ไมเนอร์ โฮเทลส์” พระเอกผู้แข็งแกร่งที่แบกทั้งกลุ่ม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า “ไมเนอร์ โฮเทลส์” (Minor Hotels) คือเครื่องยนต์หลักที่ทรงพลังที่สุดของ MINT ในเวลานี้ โดยคิดเป็นสัดส่วนรายได้ถึง 80% และสัดส่วน EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม) ถึง 84% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี และที่สำคัญคือสร้างกำไรจากการดำเนินงานให้กลุ่มถึง 70%
ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มาจากการวางตำแหน่งพอร์ตโฟลิโอโรงแรมที่ “ถูกที่ ถูกเวลา”
- ยุโรปและอเมริกา (Minor Hotels Europe & Americas: MHEA): นี่คือ “หัวใจ” ของธุรกิจโรงแรม MINT ผลการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่งมาก โดยใน Q3/68 รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ในสกุลเงินยูโร เติบโต 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งน่าทึ่งมาก เพราะปีที่แล้วมีฐานที่สูงลิ่วจากการแข่งขันกีฬาและอีเวนต์ดนตรีใหญ่ๆ สิ่งนี้บอกเราว่า “การเดินทางของกลุ่มลูกค้าองค์กร” (Corporate Travel) กลับมาแล้วอย่างชัดเจน และกลุ่มท่องเที่ยวพักผ่อน (Leisure) ก็ยังคงมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเบเนลักซ์, อิตาลี และสเปน
- มัลดีฟส์: สำหรับตลาด Super Luxury อย่างมัลดีฟส์ MINT โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นมาก RevPAR ในสกุลเงินดอลลาร์ พุ่งสูงขึ้นถึง 13% ในไตรมาส 3 นี่คือสัญญาณว่าเทรนด์การใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ระดับไฮเอนด์ยังคงแข็งแกร่ง และ MINT ก็สามารถขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวที่หลากหลายขึ้นได้สำเร็จ
- ออสเตรเลีย: กลุ่มโรงแรมภายใต้สิทธิบริหารจัดการห้องชุดในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (แบรนด์อย่าง Oaks) มี RevPAR เพิ่มขึ้น 6% ปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือ “กิจกรรมดนตรีและกีฬา” เช่น รักบี้ หรือมาราธอน นี่คือเทรนด์สำคัญของโลกที่ “การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์” (Experiential Travel) กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักเดินทาง
- ประเทศไทย: นี่คือจุดที่น่าวิเคราะห์ที่สุด โรงแรมในประเทศไทยมี RevPAR ปรับตัวลดลง 7% ซึ่ง MINT ชี้แจงว่ามาจากการ “ปิดปรับปรุงโรงแรมหลัก” (Renovation) และ “ความต้องการเดินทางในประเทศที่ชะลอตัว” แต่สิ่งที่ Thumbsup มองเห็นและน่าสนใจมาก คือ ในขณะที่ RevPAR (รายได้ต่อห้อง) ลด แต่อัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) กลับ “เพิ่มขึ้น 7%”! นี่คือกลยุทธ์ที่ชัดเจน MINT กำลัง “ยอมสละอัตราการเข้าพัก (Occupancy) บางส่วน เพื่อรักษาระดับราคา (Price Integrity)” นี่คือการส่งสัญญาณว่าพวกเขาจะไม่ลงไปเล่นสงครามราคา และมุ่งเน้นการจับ “นักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง” (High-Value Tourists) เป็นการวางตำแหน่งแบรนด์ที่แข็งแกร่งมาก แม้จะต้องเจ็บตัวในระยะสั้นก็ตาม
“ไมเนอร์ ฟู้ด” นักสู้ผู้ใช้ “นวัตกรรม” ท่ามกลางสมรภูมิ F&B
ในขณะที่ธุรกิจโรงแรมเป็นพระเอก ธุรกิจร้านอาหาร หรือ “ไมเนอร์ ฟู้ด” (Minor Food) ก็อยู่ในบทของ “นักสู้” ที่ต้องเผชิญกับสมรภูมิที่หินที่สุด ทั้งการแข่งขันที่ดุเดือด, กำลังซื้อที่เปราะบาง และต้นทุนที่สูงขึ้น
ภาพรวมของไมเนอร์ ฟู้ดใน Q3/68 ยอดขายต่อสาขาเดิม (SSS) โดยรวมลดลงเล็กน้อยที่ 0.8% ซึ่งสะท้อนภาพรวมตลาด แต่ในความท้าทายนี้ เราเห็น “กลยุทธ์การปรับตัว” ที่น่าสนใจมาก
- สู้ด้วย “นวัตกรรมเมนู” และ “การจับเทรนด์”
- GAGA: แบรนด์ชานมที่กำลังมาแรง โชว์ยอดขาย SSS เติบโตระดับ “สองหลัก” ในไทย ทำได้อย่างไร? พวกเขาขยายสินค้าไปยัง “เครื่องดื่มที่ไม่ใช่นม” ซึ่งเป็นการอ่านเกมที่ขาดว่าผู้บริโภคยุคใหม่มองหาทางเลือกที่หลากหลาย
- The Coffee Club (ออสเตรเลีย): พลิกกลับมามี SSS เป็นบวก 1.6% ด้วยการเปิดตัวเมนูใหม่ที่ “ตามเทรนด์” อย่าง “Pistachio Perfection” แสดงให้เห็นว่าการทำ LTO (Limited Time Offer) ที่โดนใจ ยังคงเป็นอาวุธที่ทรงพลัง
- Swensens: กลับมามี SSS เป็นบวกได้ จากการออก “เมนูตามฤดูกาล” และโปรโมชั่นที่คุ้มค่า
- สู้ด้วย “IP Collaboration” และ “การขยายฐานลูกค้า”
- Burger King (ไทย): ใช้กลยุทธ์ที่กำลังฮิตในวงการรีเทล นั่นคือ “IP Collaboration” โดยไปจับมือกับอนิเมะดังระดับโลกอย่าง “นารูโตะ” (Naruto) ผลลัพธ์คือช่วยเพิ่มมูลค่าบิลเฉลี่ยและยอดขายรวมได้สำเร็จ
- Bonchon (ไทย): เติบโตจากการ “ขยายเมนูที่นอกเหนือจากไก่ทอด” นี่คือการพยายามเปลี่ยนภาพจำจาก “ร้านไก่ทอด” ไปสู่ “ร้านอาหารเกาหลี” ที่มีโอกาสในการทาน (Occasion) บ่อยขึ้น
- สู้ด้วย “Channel Strategy”
- ในแผนอนาคต MINT ระบุถึงความสำเร็จของ “Dairy Queen รูปแบบโมดูลาร์ในร้านสะดวกซื้อ” นี่คือกลยุทธ์ “Go-to-Market” ที่ชาญฉลาดมาก คือการพาแบรนด์ไปอยู่ในจุดที่ทราฟฟิกหนาแน่นอยู่แล้ว แทนที่จะรอให้ลูกค้าเดินเข้าร้านอย่างเดียว และพวกเขากำลังจะต่อยอดแนวคิดนี้ไปยังแบรนด์อื่นด้วย
แม้ว่าไมเนอร์ ฟู้ด จะเจอกับแรงกดดันด้านกำไรจากต้นทุนวัตถุดิบ (เช่น เมล็ดกาแฟ) และค่าแรงในออสเตรเลีย แต่การปรับตัวที่รวดเร็วและหลากหลายนี้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังสู้ทุกทางเพื่อรักษาฐานที่มั่นไว้
ศึกใหญ่แห่งอนาคต “Asset-Light”, “Agility” และ “Unlock Value”
นี่คือส่วนที่นักกลยุทธ์และนักการตลาดต้องจับตามองมากที่สุด เพราะมันคือ “ทิศทาง” อนาคตของ MINT
- Move 1: การ “Delist” MHEA
- หนึ่งในข่าวใหญ่ที่สุดในไตรมาส 3 คือการที่ MINT ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เพื่อนำ Minor Hotels Europe & Americas (MHEA) “ออกจากตลาดหลักทรัพย์สเปน” โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 95.9% เป็น 99.5% ในมุมของคนทำธุรกิจ นี่คือ “Big Move” ที่แปลว่า MINT กำลัง “กระชับอำนาจ” และ “ลดความซับซ้อน” โครงสร้าง MHEA ที่เคยเป็นบริษัทจดทะเบียนในสเปน (NH Hotel Group เดิม) จะกลายเป็นของ MINT เกือบ 100% ผลลัพธ์คืออะไร? “ความคล่องตัว (Agility)” ที่สูงขึ้นมาก, การดำเนินกลยุทธ์ที่ไร้รอยต่อ และ “การลดต้นทุน” ในการบริหารจัดการ นี่คือการเตรียมทัพให้พร้อมสำหรับสมรภูมิในอนาคต
- Move 2: การเดินหน้าสู่ “Asset-Light”
- MINT กำลังเปลี่ยนผ่านจากโมเดล “เป็นเจ้าของสินทรัพย์” (Asset-Heavy) ไปสู่ “การบริหารและรับจ้างบริหาร” (Asset-Light) มากขึ้น เราเห็นสัญญาณจากการเปิดโรงแรมใหม่ 3 แห่งใน Q3/68 ซึ่งทั้งหมดเป็น “สิทธิรับจ้างบริหาร” (Oaks ในออสเตรเลีย, nhow ในเปรู และ Colbert Collection ใน UAE) ธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมนี้มีรายได้เติบโตถึง 32% (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์นี้มาถูกทาง
- Move 3: การประกาศ “Unlock Value”
- MINT พูดชัดเจนในตอนท้ายของรายงานว่า พวกเขากำลัง “ปลดล็อกคุณค่าของบริษัท” (Unlock Value) และ “ปลดล็อกศักยภาพที่ยังไม่ถูกสะท้อนในมูลค่าของบริษัท”
พวกเขาจะทำอย่างไร? คำตอบคือ “แผนการเสนอขายทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีหน้า”
- MINT พูดชัดเจนในตอนท้ายของรายงานว่า พวกเขากำลัง “ปลดล็อกคุณค่าของบริษัท” (Unlock Value) และ “ปลดล็อกศักยภาพที่ยังไม่ถูกสะท้อนในมูลค่าของบริษัท”
นี่คือการเชื่อมโยงจุดทั้งหมด (Connecting the dots) การขายสินทรัพย์เข้า REIT จะทำให้ MINT ได้เงินสดก้อนโตกลับมา, ลดหนี้ และเปลี่ยนสถานะตัวเองไปสู่โมเดล “Asset-Light” ได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROE) สูงขึ้น และสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของ “แบรนด์” และ “การบริหาร” ซึ่งเป็นสิ่งที่ MINT ถนัดที่สุด
Thumbsup มองว่า ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2568 ของ MINT ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขที่เติบโต แต่เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการบริหารพอร์ตโฟลิโอ
ในวันที่ “การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์” บูมสุดขีด ธุรกิจโรงแรมลักชัวรีและโรงแรมในยุโรปของพวกเขาก็พร้อมเก็บเกี่ยว
ในวันที่ “ธุรกิจอาหาร” เต็มไปด้วยความท้าทาย พวกเขาก็สู้ด้วยนวัตกรรม, การจับมือกับ IP ดัง และการปรับกลยุทธ์ช่องทางจำหน่ายที่สร้างสรรค์
และในเกมระยะยาว MINT กำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับการปรับโครงสร้างองค์กร และการเปลี่ยนผ่านสู่โมเดล Asset-Light เพื่อ “Unlock Value” ครั้งสำคัญ
นี่คือกลยุทธ์ของ “ผู้มีประสบการณ์” ที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรรุก เมื่อไหร่ควรรับ และเมื่อไหร่ที่ต้อง “ปรับโครงสร้าง” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชัยชนะในเกมถัดไป
อ่านเพิ่มเติม



