ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และทุกอย่างถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี คำถามสำคัญที่ย้อนกลับมาท้าทายพวกเราอย่างจังคือ “แล้ว ‘ความเป็นมนุษย์’ ของเราอยู่ตรงไหน?” เวทีเสวนาแห่งปี “The Next HumAnIty: กำกับอนาคต AI กำหนดอนาคตสังคม” โดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ไม่เพียงแค่จุดประกายประเด็นนี้ขึ้นมา แต่ยังสาดไฟให้เห็นภาพความเป็นจริงของสังคมไทยผ่านข้อมูลที่น่าตกใจและน่าขบคิด กับผลสำรวจ “ดัชนีชี้วัดคุณธรรมและทุนชีวิตปี 2568” ที่เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันของเราได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
ข้อมูลชุดนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะเป็นการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างกว่า 33,032 คนทั่วประเทศ ครอบคลุม 3 ช่วงวัย (13-24 ปี, 25-40 ปี, และ 41 ปีขึ้นไป) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นบอกอะไรเรามากกว่าแค่ตัวเลข แต่กำลังชี้ให้เห็นถึงรอยปริและความท้าทายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามา

ภาพรวมคุณธรรมไทย: น่าห่วงแต่ยังมีความหวัง?
เมื่อมองภาพใหญ่ ผลสำรวจดัชนีชี้วัดคุณธรรม 5 ด้านหลัก ได้แก่ พอเพียง, วินัยรับผิดชอบ, สุจริต, จิตสาธารณะ, และกตัญญู พบว่าค่าเฉลี่ยรวมของคนไทยอยู่ที่ 4.36 จากคะแนนเต็ม 6 ซึ่งถูกจัดอยู่ใน “ระดับน้อย” แต่เมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่ใช้ในการสำรวจฉบับเต็ม จะพบว่าคะแนนนี้จัดอยู่ใน “ระดับพอใช้” อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนกลับไปเทียบกับปี 2565 เป็นปีฐาน พบว่าแนวโน้มโดยรวมลดลงถึง 4.39% ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ดังและชัดเจน
สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเจาะลึกลงไปในแต่ละด้าน พบว่า “ความกตัญญู” เป็นคุณธรรมที่โดดเด่นที่สุด มีคะแนนเฉลี่ยสูงถึง 4.62 ตามมาด้วย “จิตสาธารณะ” (4.40) และ “วินัยรับผิดชอบ” (4.33) ในทางกลับกัน ด้านที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ “ความพอเพียง” และ “ความสุจริต” ที่มีคะแนนเท่ากันที่ 4.22 การที่ “ความสุจริต” อยู่ในระดับต่ำนั้นเป็นเรื่องที่น่าขบคิดอย่างยิ่งในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลบ่า และภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่าง Deepfake หรือ AI Phishing กำลังกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที
แต่ในข่าวร้ายก็ยังมีข่าวดีซ่อนอยู่ เมื่อพิจารณา “ดัชนีทุนชีวิต” ซึ่งวัดคุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้คนเราเติบโตอย่างเข้มแข็งผ่าน 5 พลัง (พลังตัวตน, พลังครอบครัว, พลังสร้างปัญญา, พลังเพื่อนและกิจกรรม, และพลังชุมชน) กลับพบว่าภาพรวมของคนไทยอยู่ใน “ระดับดี” ด้วยค่าเฉลี่ยสูงถึง 78.51% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 0.55% เมื่อเทียบกับปี 2565
ข้อมูลสองชุดนี้กำลังบอกเราเป็นนัยๆ ว่า แม้พฤติกรรมที่แสดงออกทางคุณธรรม (Moral Behavior) ของเราอาจจะลดลง แต่รากฐานทางสังคมและจิตใจ (Life Assets) ของเรายังคงแข็งแกร่ง เปรียบเสมือนดินที่ยังดีแต่ต้นไม้กำลังต้องการการดูแลอย่างเร่งด่วน รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม สรุปภาพนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “สังคมไทยป่วยจริง แต่สำนึกยังดีอยู่ ถ้าสำนึกดีอยู่ซ่อมง่าย”


เมื่อผู้ใหญ่ต้องหันกลับมามองตัวเอง: วัยทำงานคือจุดเปลี่ยน?
ประเด็นที่น่าจะทำให้ใครหลายคนต้องเปลี่ยนความคิด คือเมื่อจำแนกข้อมูลตามช่วงวัย ภาพที่เคยเชื่อกันว่า “เด็กสมัยนี้แย่” อาจไม่จริงเสมอไป เพราะกลุ่มเยาวชน (อายุ 13-24 ปี) กลับมีคะแนนเฉลี่ยคุณธรรมอยู่ที่ 4.43 ซึ่งสูงกว่ากลุ่มวัยทำงาน (อายุ 25-40 ปี) ที่ได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 4.21 และใกล้เคียงกับกลุ่มผู้ใหญ่ (อายุ 41 ปีขึ้นไป) ที่มีคะแนน 4.44
กลุ่มวัยทำงาน (Gen Y) ซึ่งเป็นกำลังหลักของประเทศในปัจจุบัน กลับกลายเป็นกลุ่มที่มีคะแนนน่าเป็นห่วงที่สุด โดยเฉพาะในด้าน “วินัยรับผิดชอบ” (4.01) และ “สุจริต” (4.08) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับทุกช่วงวัย รศ.นพ.สุริยเดว ชี้ว่าประเด็นเรื่องวินัยและความรับผิดชอบของคนรุ่นพ่อแม่เป็นปัญหาที่น่ากังวลมาตลอด 4 ปีของการสำรวจ และอาจส่งผลต่อการเป็นต้นแบบให้กับคนรุ่นต่อไป
Mega Trends 2025: 4 คลื่นลมที่กำลังกำหนดอนาคต
สถานการณ์คุณธรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่สุญญากาศ แต่เชื่อมโยงโดยตรงกับบริบทของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ณัฐกร เวียงอินทร์ Head of Content & Branding จาก Future Trends ได้สรุป 4 เมกะเทรนด์สำคัญที่เราต้องเผชิญหน้าไว้ดังนี้
- AI ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI): AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว แต่ก็มาพร้อมกับดาบสองคม ทั้งการละเมิดลิขสิทธิ์จากการนำข้อมูลไปเทรน AI โดยไม่ได้รับอนุญาต การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยขาดความยินยอม และการสร้างความเข้าใจผิดจากสิ่งที่ AI สร้างขึ้น เทรนด์นี้บีบให้เราต้องกลับมาตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบและจริยธรรม ซึ่งสวนทางกับคะแนน “ความสุจริต” ที่ลดลง
- ความยั่งยืนที่พร้อมรับมือ (Sustainable Resilience): โลกไม่ได้แค่ร้อนขึ้น แต่กำลัง “เดือด” ภัยธรรมชาติที่รุนแรงและคาดเดายากขึ้น ทำให้เราต้องเปลี่ยนจากการตั้งรับไปสู่การออกแบบเพื่อรับมือ เช่น แนวคิด “เมืองฟองน้ำ” (Sponge City) ที่ซับน้ำแทนการระบายน้ำออก หรือการสร้างระบบนิเวศชายฝั่งเพื่อป้องกันน้ำท่วม
- สังคมอายุยืนอย่างมีคุณภาพ (Longevity): เทรนด์นี้ไม่ได้มองแค่การมีอายุยืนยาว (Life Span) แต่มองไปถึงการมีช่วงเวลาของสุขภาพที่ดี (Health Span) ทั้งกายและใจ โดยศึกษาจากพื้นที่ “Blue Zones” ที่ผู้คนมีอายุยืนยาวอย่างมีความสุข ซึ่งปัจจัยไม่ได้มีแค่เรื่องอาหาร แต่รวมถึงการเคลื่อนไหวร่างกาย การมีเป้าหมายในชีวิต และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เข้มแข็ง
- ผลกระทบจากภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics): ความขัดแย้งระหว่างประเทศส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการเกษตรของไทยที่อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ทางรอดคือการนำเทคโนโลยีและ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้สารเคมี และแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
Thumbsup มองว่า เมื่อนำภาพสถานการณ์คุณธรรมมาวางซ้อนกับเมกะเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เราจะเห็นภาพอนาคตที่ท้าทายอย่างยิ่ง การที่ “ความสุจริต” และ “วินัย” ของเราอ่อนแอลง ในขณะที่ AI กำลังทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ เป็นความเสี่ยงมหาศาล
ทางออกที่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านบนเวทีเสวนาชี้ตรงกัน คือการที่มนุษย์ต้องยกระดับตัวเองขึ้นไปทำงานที่ใช้ “Sense & Soul” (ความรู้สึกและจิตวิญญาณ) ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ไม่อาจทดแทนได้ และปล่อยให้ AI จัดการงานที่เน้น “Scale & Speed” (ปริมาณและความเร็ว) แทน
เราต้องเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้โดยสาร AI” (AI Passenger) ที่แค่คัดลอกสิ่งที่ AI สร้างไปใช้ มาเป็น “คนขับ AI” (AI Driver) ที่รู้เท่าทันข้อจำกัดและใช้งานอย่างมีวิจารณญาณ และทางรอดที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาตนเองให้ “สูงกว่าค่าเฉลี่ย” ที่ AI ทำได้
รศ.นพ.สุริยเดว ได้ทิ้งท้ายด้วยคำถามที่คมคายว่า “เรากำลังสร้างคนให้กลายเป็นหุ่นยนต์ หรือสร้างให้เป็นมนุษย์ที่เดินได้กันแน่?” พร้อมชี้ให้เห็น 5 คุณสมบัติของมนุษย์ที่ AI ไม่มีวันเอาชนะได้ นั่นคือ ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity), แรงบันดาลใจ (Inspiration), ความใฝ่รู้ (Curiosity), คุณธรรม (Morality), และที่สำคัญที่สุดคือ สายใยรักและความเอื้ออาทร (Loving Care)
ผลสำรวจนี้จึงเป็นมากกว่ารายงาน แต่เป็นสัญญาณเตือนให้สังคมไทยต้องหันกลับมาทบทวนและลงทุนกับการสร้าง “คุณธรรม” อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างบรรทัดฐานเรื่องความสุจริต การส่งเสริมความพอเพียงเพื่อรับมือกับอนาคตที่ยั่งยืน หรือการพัฒนาครอบครัวเชิงบวกเพื่อสร้างพลังตัวตนที่เข้มแข็ง เพราะท้ายที่สุดแล้ว อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะดีหรือร้าย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดของเทคโนโลยี แต่ขึ้นอยู่กับ “คุณภาพ” ของหัวใจมนุษย์ที่เป็นผู้กำกับมัน



