One Million Followers

ในยุคที่ “ตัวเลขผู้ติดตาม” กลายเป็นเรื่องสำคัญของโลกธุรกิจและการสร้างแบรนด์ หลายคนยังมีความเข้าใจผิดว่าการจะเป็น Influencer หรือแบรนด์ที่มีคนตามหลักล้านได้นั้นต้องอาศัย “โชคช่วย” หรือ “พรสวรรค์ฟ้าประทาน” แต่ถ้าเราบอกว่าความดังเหล่านั้นสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การทดสอบ และกลยุทธ์ที่วัดผลได้ล่ะ?

วันนี้ Thumbsup หยิบหนังสือเล่มสำคัญที่สายการตลาดและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ต้องอ่าน อย่าง “One Million Followers: How I Built a Massive Social Following in 30 Days” ของ Brendan Kane มาชำแหละให้เห็นไส้ในกันครับ Kane ไม่ใช่กูรูที่เคลมลอย ๆ แต่เขาคือคนที่สร้างผู้ติดตามหลักล้านคนจากศูนย์ภายในเวลาแค่เดือนเดียว เพื่อพิสูจน์ว่า “ใคร ๆ ก็ทำได้ถ้ารู้วิธี”

One Million Followers

ความดังในยุคดิจิทัลไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

เรามักได้ยินเรื่องราวความสำเร็จของ Justin Bieber ที่ดังระเบิดจาก YouTube หรือ Taylor Swift ที่ใช้ MySpace (ในยุคนั้น) สร้างฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนเทพนิยาย แต่ Kane ชี้ให้เห็นว่าเบื้องหลังความสำเร็จคือ “การทำงานหนักบนโซเชียลมีเดีย” ที่ผสมผสานกับพรสวรรค์

กรณีของ Taylor Swift น่าสนใจมาก เธอไม่ได้แค่โพสต์เพลง แต่เธอให้เวลากับแฟนคลับอย่างบ้าคลั่ง เคยมีบันทึกว่าเธอใช้เวลา 17 ชั่วโมงในการแจกลายเซ็นและถ่ายรูปกับแฟนคลับกว่า 3,000 คน นี่คือหัวใจสำคัญ การมีปฏิสัมพันธ์ (Engagement) คือเชื้อเพลิงชั้นดี ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปิน นักเขียน หรือแบรนด์สินค้า ถ้าอยากโตในยุคนี้ คุณต้องมองโซเชียลมีเดียเป็น “เวทีสร้างโอกาส” ไม่ใช่แค่ที่เก็บอัลบั้มรูป

Facebook คือห้องแล็บทดลองที่ดีที่สุด

Brendan Kane เลือกเริ่มต้นภารกิจ 1 ล้าน Followers บน Facebook เพราะนี่คือแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานกว่า 2 พันล้านคน และมีระบบโฆษณาที่ละเอียดที่สุด แต่กฎเหล็กข้อแรกที่เขาบอกคือ “Content is King, but Testing is Queen”

หลายคนตกม้าตายเพราะ “เดา” ว่าคนดูชอบอะไร แต่ Kane ใช้หลักการ 3 ขั้นตอน

  1. Hypothesis (ตั้งสมมติฐาน): ลองวางโครงร่างรูปแบบคอนเทนต์ หัวข้อ และเรื่องราวที่คิดว่าจะปัง
  2. Testing (ทดสอบ): อย่าทำคอนเทนต์แบบเดียวแล้วทุ่มงบหมดหน้าตัก ให้ทำหลาย ๆ แบบแล้วยิงโฆษณาเพื่อดูผลลัพธ์
  3. Reversal (ปรับเปลี่ยนหรือไปต่อ): ถ้าข้อมูลบอกว่าดีก็ลุยต่อ ถ้าไม่ดีก็เปลี่ยนทันที

ความจริงที่โหดร้ายคือ ต่อให้คุณมีคนตามเป็นล้าน แต่ Organic Reach อาจจะส่งคอนเทนต์ไปถึงคนแค่ 5% ดังนั้นการเข้าใจระบบ Paid Media หรือการยิง Ads จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด คุณต้องจ่ายเพื่อ “ซื้อการมองเห็น” ในช่วงแรก เพื่อให้ Algorithm จับได้ว่าคอนเทนต์คุณดีจริง จากนั้นค่าโฆษณาจะถูกลงเรื่อย ๆ ตามคุณภาพของโพสต์

ROI และศิลปะการใช้เงินแก้ปัญหา

ในมุมมองนักการตลาด ตัวเลขที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ยอดไลก์ แต่คือ ROI (Return on Investment) หรือผลตอบแทนจากการลงทุน เป้าหมายของการใช้ Ad Manager คือการลดต้นทุนต่อผู้ติดตาม (Cost Per Acquisition) ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้

Kane แนะนำกลยุทธ์ที่น่าสนใจ

  • งบประมาณ: ไม่ต้องทุ่มหลักแสน เริ่มต้นที่ 11-25 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันสำหรับการทดสอบโพสต์แต่ละแบบ
  • การแบ่งหมวดหมู่: อย่าอัดทุกเรื่องในโพสต์เดียว แยกประเด็นให้ชัด เช่น ความสุข, จิตวิทยา, แรงบันดาลใจ แล้วดูว่าหัวข้อไหนคนคลิกเยอะสุด
  • เวลาโพสต์: เริ่มแคมเปญตอนเที่ยงคืน เพื่อให้ระบบมีเวลา 24 ชั่วโมงเต็มในการเรียนรู้พฤติกรรมคน

Targeting แม่นยำคือกุญแจสู่ชัยชนะ

การยิงโฆษณาแบบหว่านแหคือการเผาเงินเล่น การใช้ Targeting หรือการระบุกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนจะช่วยประหยัดงบได้มหาศาล Kane ยกตัวอย่างเคสที่ทำงานร่วมกับองค์กรอนุรักษ์ทะเล

เขาไม่ได้ทำคอนเทนต์เดียว แต่เขาสร้าง “10 วลีเด็ดเกี่ยวกับมหาสมุทร” จับคู่กับ “10 รูปภาพสัตว์น้ำ” แล้วสลับจับคู่กันไปมาเพื่อทดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย 20 กลุ่ม ผลลัพธ์คือเขาเจอ “คู่เนื้อคู่” ของคอนเทนต์ที่คนชอบที่สุด และดันยอดผู้ติดตามไปถึง 2 ล้านคนใน 2 สัปดาห์! นี่คือพลังของการทำ A/B Testing ที่คนทำเพจส่วนใหญ่มองข้าม

หยุดนิ้วคนอ่านด้วย “พาดหัว” และ “คอนเทนต์ที่แชร์ต่อได้”

เมื่อดึงคนเข้ามาได้แล้ว โจทย์ต่อไปคือ “รั้งให้อยู่” Kane ย้ำเสมอว่า ยอดแชร์ (Share) สำคัญกว่ายอดไลก์ (Like) เพราะการแชร์คือการที่ผู้ใช้ยอมเอาเครดิตตัวเองไปการันตีคอนเทนต์ของคุณ

แล้วคอนเทนต์แบบไหนที่คนชอบแชร์?

  • Inspirational: คำคม แรงบันดาลใจ (คนแชร์เพื่อบ่งบอกตัวตน)
  • Humor/Entertainment: ตลก ขบขัน (คนแชร์เพื่อสร้างความสุขให้เพื่อน)
  • Educational: ความรู้ ข่าวสาร (คนแชร์เพื่อให้ดูฉลาดหรือทันโลก)

นอกจากเนื้อหาแล้ว “พาดหัว” (Headline) คือด่านหน้า เหมือนกรณีศึกษาของภาพยนตร์ The Blair Witch Project ที่โปรโมตด้วยประโยคชวนสงสัยว่า “เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?” ความสงสัยดึงดูดคนได้เสมอ ลองเปลี่ยนพาดหัวหลาย ๆ แบบแล้วดูว่าอันไหนหยุดนิ้วคนได้ดีที่สุด

มองให้กว้างกว่าแค่ประเทศตัวเอง

กลยุทธ์ “Growth Hacking” ที่ Kane ใช้และเป็นที่ถกเถียงกันพอสมควร คือการมองหาฐานแฟนคลับจาก ประเทศกำลังพัฒนา (เช่น อินเดีย, บราซิล, ฟิลิปปินส์)

ทำไมต้องทำแบบนั้น?

  1. Cost ต่ำ: ค่าโฆษณาเพื่อให้ได้ 1 Follower ในประเทศเหล่านี้ถูกกว่าในอเมริกาหรือยุโรปมหาศาล
  2. Social Proof: เมื่อเพจของคุณมีตัวเลขผู้ติดตามสูง (แม้จะมาจากต่างประเทศ) มันสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้เมื่อคุณกลับมาทำตลาดในประเทศตัวเอง หรือประเทศกลุ่ม Tier 1 คนจะกล้ากดติดตามง่ายขึ้นเพราะเห็นว่า “เพจนี้ดัง”

Instagram และพลังของ Influencer

สำหรับ Instagram การดึงดูดจะเปลี่ยนไปที่ Visual และความสัมพันธ์ Kane แนะนำเทคนิคที่เรียกว่า “Influencer Partnership”

  • อย่าเพิ่งพุ่งเป้าไปที่ดาราเบอร์ใหญ่ ให้เริ่มจาก Micro-Influencer หรือเพจที่มีฐานแฟนคลับตรงกับเรา
  • เสนอผลประโยชน์ที่ Win-Win (ไม่ใช่แค่ขอให้เขาช่วยฟรี ๆ)
  • ใช้กลยุทธ์ “Private Account” ในบางช่วงเวลา เมื่อคอนเทนต์ไวรัล การตั้งค่าเป็นส่วนตัวจะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและบังคับให้คนกด Follow เพื่อดูเนื้อหา (วิธีนี้ต้องระวังและใช้ให้ถูกจังหวะ)

LinkedIn และ YouTube คือสนามที่แตกต่าง

  • YouTube: เน้น SEO เป็นหลัก ใส่ Tags ให้แม่น ตรงกับสิ่งที่คนค้นหา และต้องสม่ำเสมอ ความยาวและคุณภาพวีดีโอมีผลมากต่อการสร้างรายได้
  • LinkedIn: แพลตฟอร์มมืออาชีพแต่ต้องการ “ความเป็นมนุษย์” เรื่องเล่าที่มีอารมณ์ความรู้สึก (Emotional Storytelling) มักจะไวรัลได้ดีกว่าโพสต์อวดความสำเร็จแข็ง ๆ การทักหาคนใหญ่คนโตต้องเริ่มด้วยความเคารพและทำการบ้านเกี่ยวกับเขามาก่อนเสมอ

Thumbsup มองว่า เรื่องราวจากหนังสือ One Million Followers บอกเราชัดเจนว่า “Social Media ไม่ใช่ตู้เสี่ยงโชค แต่เป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์”

Brendan Kane ไม่ได้บอกให้เราสร้างคอนเทนต์ขยะเพื่อแลกยอดวิว แต่เขากำลังสอน Mindset ของการเป็นนักทดลอง

  1. อย่าหลงรักไอเดียแรกของตัวเอง: กล้าที่จะทิ้งและเปลี่ยนถ้าผลลัพธ์ไม่ดี
  2. ตัวเลขไม่เคยโกหก: ใช้ Data นำทางเสมอ ไม่ใช่ความรู้สึก
  3. Content ต้องมีคุณค่า: ไม่ว่าจะเพื่อความบันเทิงหรือความรู้ ต้องตอบโจทย์ว่า “คนดูจะได้อะไรจากการแชร์สิ่งนี้?”

สำหรับแบรนด์และครีเอเตอร์ไทย การจะไปถึง 1 ล้านผู้ติดตามอาจไม่ได้การันตีความสำเร็จทางธุรกิจเสมอไป แต่กระบวนการระหว่างทาง ไล่ตั้งแต่การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย การทดสอบคอนเทนต์ และการปรับตัวอย่างรวดเร็วต่างหาก คือทักษะที่จะทำให้คุณอยู่รอดได้ในสมรภูมิคอนเทนต์ที่ดุเดือดนี้

ลองถามตัวเองดูว่า วันนี้คุณกำลังทำคอนเทนต์ตามใจตัวเอง หรือกำลังทดสอบสมมติฐานเพื่อหาคำตอบที่คนดูต้องการจริง ๆ? เริ่มต้นทดลองวันละนิด แล้วผลลัพธ์มหาศาลจะตามมาแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม

I'm a Content Creator and Storyteller, and i love Shooting my daughter :><: