ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วย Buzzword และหลักการบริหารที่ซับซ้อน เรามักถูกสอนให้เชื่อว่าการจะสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการเขียนแผนธุรกิจหนาเตอะ การระดมทุนมหาศาล หรือการมีออฟฟิศสุดหรูใจกลางเมือง แต่ถ้าบอกว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเป็น กับดัก ที่ฉุดรั้งไม่ให้คุณเริ่มต้นล่ะ?
วันนี้ Thumbsup หยิบหนังสือระดับตำนานอย่าง Rework ของ Jason Fried และ David Heinemeier Hansson มาปัดฝุ่นเล่าใหม่ เพราะแนวคิดของพวกเขาไม่ใช่แค่การ ทำงาน แต่คือการ รื้อระบบความคิด ที่ยังคงความสดใหม่และเฉียบคมสำหรับนักการตลาดและคนทำธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างน่าตกใจ

เริ่มให้เล็ก แต่เริ่มให้ “จริง”
หมดยุคแล้วที่เราต้องลาออกจากงานประจำเพื่อมาเสี่ยงตายเอาดาบหน้า ผู้เขียนย้ำชัดเจนว่า ข้ออ้าง ที่ว่าไม่มีเวลาหรือไม่มีเงินทุน คือเกราะป้องกันความกลัวของคุณเอง เทคโนโลยีในปัจจุบันย่อโลกธุรกิจให้เหลือแค่หน้าจอแล็ปท็อป คุณสามารถเริ่มโปรเจกต์ในฝันได้ทันทีโดยไม่ต้องทิ้งรายได้หลัก
หัวใจสำคัญไม่ใช่การมีทรัพยากรล้นมือ แต่คือการ จัดการข้อจำกัด การเริ่มเล็กช่วยให้คุณคล่องตัว ลองดูโมเดลของ Amazon ที่ไม่ได้เริ่มจากการขายทุกอย่างในโลก แต่เริ่มจาก หนังสือ และโฟกัสที่ระบบขนส่งที่ลื่นไหลจนกลายเป็น Core Business ที่แข็งแกร่ง
อย่าเพิ่งวางแผนขยายอาณาจักรทั้งที่ยังไม่ได้ลงเสาเข็ม จงภูมิใจในความเล็ก เพราะความเล็กคือความคล่องตัวที่คุณจะมีได้แค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
แก้ปัญหาของตัวเอง คือ Business Model ที่ดีที่สุด
ไอเดียธุรกิจที่ทรงพลังที่สุดมักไม่ได้มาจากการทำ Focus Group แต่มาจากการ เกาให้ถูกที่คัน สินค้าของ 37signals (บริษัทผู้เขียน) เกิดขึ้นเพราะพวกเขาต้องการซอฟต์แวร์บริหารจัดการงานที่ตัวเองอยากใช้แต่หาในตลาดไม่ได้
เมื่อคุณสร้างสินค้าเพื่อแก้ปัญหาที่คุณเจอเอง คุณจะเข้าใจ Pain Point ได้ลึกซึ้งกว่าใคร และความหลงใหลในการพัฒนามันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ คุณไม่ต้องพยายามขายฝันให้นักลงทุน เพราะคุณคือลูกค้าคนแรกที่รู้ดีที่สุดว่าสินค้าต้องออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร
น้อยกว่าคือมากกว่า
ในขณะที่คู่แข่งพยายามยัดเยียดฟีเจอร์ 108 อย่างลงในผลิตภัณฑ์ Rework แนะนำให้คุณทำตรงกันข้าม การพยายามทำให้ตอบโจทย์ทุกคนคือจุดจบของการตอบโจทย์ใครไม่ได้เลย
- โฟกัสที่แก่น: ตัดรายละเอียดหยุมหยิมทิ้งไปก่อน สนใจแค่ฟีเจอร์หลักที่แก้ปัญหาได้จริง
- เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ: การตามใจลูกค้าทุกอย่างจะทำให้สินค้าคุณเละเทะ จงกล้าที่จะปฏิเสธฟีเจอร์ที่ไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของคุณ
- ขายความเรียบง่าย: ความซับซ้อนขายยาก แต่ความเรียบง่ายที่ใช้งานได้จริงคือสิ่งที่ผู้คนยอมจ่าย
อย่าเป็นแค่คนขาย แต่จงเป็น “ครู”
ในยุคที่ใคร ๆ ก็ซื้อโฆษณาได้ การสร้างความแตกต่างที่ยั่งยืนคือการ สร้าง Audience ไม่ใช่แค่หาลูกค้า การแชร์ความรู้ เบื้องหลังการทำงาน หรือวิธีคิดคือการสร้างความเชื่อมั่นที่ประเมินค่าไม่ได้
เมื่อคุณสอน คุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายตาคนอื่น และเมื่อถึงเวลาที่คุณจะขายของ คนกลุ่มนี้แหละคือแฟนพันธุ์แท้ที่จะสนับสนุนคุณโดยที่คุณแทบไม่ต้องตะโกนขายเลย
วัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่เอกสาร แต่มันคือ “การกระทำ”
เลิกเชื่อเรื่อง Mission Statement สวยหรูที่แปะอยู่ข้างฝาผนังแต่อไม่มีใครจำได้ วัฒนธรรมองค์กรเกิดขึ้นจากพฤติกรรมจริง
- คุณคุยกับลูกค้าอย่างไรตอนเกิดปัญหา?
- คุณจัดการกับความผิดพลาดอย่างไร?
- คุณให้ความสำคัญกับคุณภาพหรือปริมาณงาน?
และที่สำคัญที่สุด เลิกเสพติดการประชุม
Jason และ David มองว่าการประชุมคือศัตรูตัวฉกาจของ Productivity การประชุมมักเต็มไปด้วยคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง หัวข้อที่ฟุ้งซ่าน และจบลงโดยไม่มี Action Plan ที่ชัดเจน หากต้องการคุย ให้คุยสั้น ๆ เจาะจง และแยกย้ายไปทำงานจริง
ความผิดพลาดคือโอกาสในการโชว์ “ความจริงใจ”
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อเกิดความผิดพลาด อย่าให้ PR หรือฝ่ายกฎหมายมาเขียนคำแถลงการณ์แบบหุ่นยนต์ จงออกมาขอโทษด้วยตัวเอง ด้วยภาษาของมนุษย์ อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นและคุณจะแก้ไขอย่างไร ความโปร่งใสในยามวิกฤตจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการซื้อใจลูกค้าได้ดีที่สุด
Thumbsup มองว่า การทำธุรกิจในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องของการปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เป็นเรื่องของ ปลาเร็วที่ฉลาดกินปลาที่อุ้ยอ้าย หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้คุณทิ้งหลักการทั้งหมด แต่ชวนให้ตั้งคำถามว่า สิ่งที่เราทำอยู่มันจำเป็นจริงไหม?
ความสำเร็จไม่ได้มีสูตรสำเร็จเดียว การก็อปปี้วิธีคนอื่นอาจทำให้คุณเป็นได้แค่ของเลียนแบบเกรด B แต่การสร้างตัวตนที่ชัดเจน เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ และใส่ใจในรายละเอียดที่คนอื่นมองข้าม นั่นต่างหากคือวิถีของ Starter ยุคใหม่
โลกหมุนเร็วเกินกว่าจะเสียเวลาวางแผน 5 ปี 10 ปี ลองหยิบไอเดียที่คุณดองไว้ในสมุดจด ออกมาปัดฝุ่นแล้วเริ่มลงมือทำ เดี๋ยวนี้ เพราะช่วงเวลาที่ดีที่สุดไม่ใช่พรุ่งนี้ แต่คือตอนที่คุณอ่านบรรทัดนี้จบ
อ่านเพิ่มเติม



