Site icon Thumbsup

Robo-Boss ตัวช่วยยุคใหม่ ปลุกพนักงานให้มี Engagement กับงานมากขึ้น

ในช่วงนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ข่าวคราวการใช้งาน AI ในองค์กรต่าง ๆ เริ่มมีมามากขึ้น แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตกงาน หรือการลดคน ตรงกันข้าม เพราะการสำรวจของ Gallup พบว่า AI สามารถช่วยเพิ่ม Engagement ให้กับพนักงานในสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งการที่พนักงานมี Engagement ต่องานหรือต่อองค์กรที่สูงนั้น ยังส่งผลดีต่อบริษัทในหลาย ๆ ด้านด้วย 

เหตุที่กล่าวเช่นนี้เพราะมีพนักงานในสหรัฐอเมริกาเพียง 32% ที่รู้สึกว่าตนเองมีเป็นส่วนหนึ่งหรือเกี่ยวข้องกับงานที่ทำ ในขณะที่ตัวเลขนี้ ระดับโลกลดลงเหลือเพียง 13% การที่ค่า Engagement ของคนทำงานน้อยจนน่าตกใจนั้นได้นำไปสู่การลาออกจากงานของพนักงานได้ง่ายมากขึ้นด้วย ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อทุกฝ่าย แต่ปัญหานี้ AI ช่วยได้ โดยมีการพบว่า AI กำลังเป็นตัวช่วยที่ดีที่ทำให้ระดับการ Engagement ของพนักงานในหลาย ๆ บริษัทนั้นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า AI มาช่วยอย่างไร เรามีตัวอย่างจาก Forbes มาเล่าสู่กันฟัง

ลองนึกภาพออฟฟิศขนาดใหญ่ บางแผนกมีพนักงานหลักร้อยคน เป็นไปได้ยากที่เจ้านายจะสามารถดูแลทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกัน หรือสามารถเข้าถึงใจพนักงานได้ทั้งหมด ยิ่งเมื่อต้องประเมินเงินเดือนยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าบอสเป็น AI เรื่องเหล่านี้อาจทำได้ไม่ยากเลย เพราะบอส AI หรือที่บทความเรียกว่า Robo-Boss นั้นสามารถให้คำแนะนำ ฟีดแบ็ก และให้ข้อมูลหลายๆ อย่างแก่พนักงานได้แบบรายบุคคล รวมถึงยังสามารถมอนิเตอร์การทำงานของพนักงานได้ตลอดเวลา จึงทราบว่าอะไรเป็นจุดอ่อนจุดแข็งของพนักงานคนนั้น และบอกวิธีปรับปรุงให้ได้ จึงทำให้พนักงานเก่งขึ้นได้แบบรายบุคคล

สำหรับงานออฟฟิศ การมาถึงของ AI จึงเป็นการปรากฏตัวที่สร้างความท้าทายให้กับหัวหน้างานยุคใหม่ได้ดีทีเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี 2015 Gartner เคยมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2018 พนักงานมนุษย์มากกว่า 3 ล้านคนทั่วโลกจะอยู่ภายใต้การดูแลของ Robo-Boss และ Gartner ยังประเมินด้วยว่า ด้วยความสามารถของ AI ดังกล่าวจะมีพนักงานถึง 1 ใน 3 ที่อยากทำงานกับ Robo-Boss มากขึ้น

แต่ AI ไม่ได้ช่วยได้แค่งานทั่วไป มีการประเมินกันว่า แผนกขาย ซึ่งเป็นเส้นเลือดแดงขององค์กรก็สามารถใช้ AI เข้ามาช่วยได้ด้วยการ “คาดการณ์พฤติกรรมผู้บริโภคล่วงหน้า” รวมถึงสามารถทาร์เก็ตลูกค้าได้ตรงกลุ่มมากขึ้น Gartner ยังคาดการณ์ว่า ในปี 2020 การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้านั้น อาจเป็นการทำผ่านระบบอัตโนมัติถึง 85% หากมีการตอบคำถามก็อาจเป็นแชทบอทตอบให้ ส่วนเซลล์ก็จะมีเวลามากขึ้นในการเอาใจใส่กับลูกค้าสำคัญขององค์กร

ด้าน Juniper คาดการณ์ว่า ภายในปี 2022 การใช้แชทบ็อทจะช่วยประหยัดเงินให้กับภาคธุรกิจได้ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว จากที่เคยทำได้ 20 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2016

ความสามารถของ AI ยังไม่จบแค่นี้ เพราะ AI ยังสามารถเข้ามาทำงานในฝ่ายทรัพยากรบุคคล ช่วยคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานได้อีก โดยมีการมองกันว่า การใช้ AI จะช่วยลดปัญหาการลำเอียง เลือกที่รักมักที่ชังต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้นยังมี AI อีกหลายตัวที่สามารถเข้าไปช่วยงานพนักงานออฟฟิศตอบอีเมลจำนวนมากหรือต้องลงปฏิทินนัดหมายได้อีก ในบทความแอบแซวด้วยว่า ในอนาคตเราอาจมีซีอีโอที่เป็น AI ด้วยเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Forbes